The Quotes are powered by Investing.com

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

อธิบายการใช้ indicator Stochastic

STOCHASTICS


   STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคาหุ้นนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของหุ้นมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน

   ถ้าราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ขึ้น” เป็น “ลง” เรามักจะพบว่าราคาในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายอาจจะสูงขึ้น แต่ราคาปิดจะอยู่ใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของวัน แต่หากราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ลง” เป็น “ขึ้น” ราคาปิดจะมีราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของวัน แม้ว่าในระหว่างชั่วโมงซื้อขายราคาอาจจะลดต่ำลง

   ความสัมพันธ์ระหว่างราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

   หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

   เครื่องมือ  STOCHASTICS  ประกอบด้วย

       เส้น %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
            เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =         ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง วัน)          
                             ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า  %K

   หลักการอ่าน  STOCHASTICS

   สัญญาณเตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

   สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย”จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง

   

   รูปแบบของการตัดขึ้นตัดลง


   สัญญาณซื้อหรือขายจากการตัดขึ้นหรือลงในทางปฏิบัติ มักจะมีบางกรณีเกิดเป็นสัญญาณหลอกขึ้นซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนเสียหาย จึงมีกฎเกณฑ์เพิ่มเติมในการอ่านรูปแบบของการตัดขึ้นหรือลง โดยจะดูว่ารูปแบบในลักษณะใดที่จะผลักดันให้ราคาหุ้นขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว

   การตัดค่อนไปทางขวามือ  (RIGHT-HAND CROSS-OVER)

   เนื่องจากเส้น %K เปลี่ยนทิศทางเร็วกว่าเส้น %D โดยจะวิ่งขึ้นหรือลงก่อน และอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก ดังนั้นสัญญาณที่ดีกว่าคือ การให้ทั้ง 2เส้นเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ในกรณีเช่นนี้ รูปแบบจะออกมาในลักษณะที่เส้น %K ตัดเส้น %D ค่อนไปทางขวามือ (RIGHT-HAND CROSS-OVER) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนกว่า

   

   รูปแบบ  HINGE

   เป็นรูปแบบการชะลอการขึ้นหรือลงในลักษณะอ่อนตัวลง เป็นเครื่องชี้ว่าราคาหุ้นอาจจะมีการเปลี่ยนทิศทางในเร็ว ๆ นี้

   

   การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS
   (DIVERGENCE)  แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

     BEARISH DIVERGENCE  คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่เป็นสัญญาณขาย

   

     BULLISH DIVERGENCE  คือการที่ราคาหุ้นสร้างจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำเก่า แต่ STOCHASTICS มีจุดต่ำใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำกว่า เป็นสัญญาณซื้อ

   

   รูปแบบ    SET-UP

   จุดยอดใหม่ของ   STOCHASTICS  สูงกว่าจุดยอดเก่า ในขณะที่ราคาหุ้นไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่และกลับลดต่ำกว่าจุดสูงเก่าเป็นสัญญาณเตือนว่า การลดต่ำลงของราคาหุ้นไม่น่าจะรุนแรงมากกว่านี้เรียกว่า  BULL SET-UP  และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะดีดตัวกลับสูงขึ้น

   

   BEAR  SET-UP จุดต่ำใหม่ของ  STOCHASTICS  ต่ำกว่าจุดต่ำกว่าในขณะที่ราคาหุ้นมีจุดต่ำใหม่สูงกว่าจุดต่ำเก่า  เป็นสัญญาณเตือนว่า การขึ้นของราคาหุ้นครั้งนี้จะเป็นการขึ้นก่อนที่ราคาจะต่ำลง

   

   รูปแบบ  FAILURE แบ่งเป็น  2 ลักษณะคือ

   รูปแบบ  KNEE  เส้น %K ตัดเส้น%D ขึ้นและถอยกลับแต่ไม่ทะลุผ่านเป็นสัญญาณเตือนว่า  ราคาหุ้นยังสามารถที่จะเคลื่อนตัวสูงขึ้นต่อไปได้

   

   รูปแบบ  SHOULDER  เส้น %K ตัดเส้น %D  และดีดตัวสะท้อนกลับแต่ไม่สามารถตัดผ่านไปได้เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาหุ้นใกล้จะอ่อนตัวลง

   

   รูปแบบ  GARBAGE แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

   GARBAGE TOP  เป็นรูปแบบทีเส้น  %K ตัดเส้น %D ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่บริเวณเขตภาวะซื้อมากไป รูปแบบนี้จะเกิดขึ้นกับสภาพตลาดที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ซึ่งจะใช้ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีการปรับตัวลง ลักษณะการปรับตัวลงของ STOCHASTIC จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว  และจะสามารถดีดตัวกลับสูงข้นได้ทันที โดยมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับตัว V จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า SPIKE BOTTOM

   

   GARBAGE BOTTOM เกิดขึ้นในสภาพตลาดขาลง และมีความหมายตรงกันข้ามกับ GARBAGE TOP โดยรูปแบบการปรับตัวสูงขึ้นของ STOCHASTIC จะเป็นไปในลักษณะ SPIKE TOP

   

   ความหมายของระดับ 0% และ 100%

   ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของหุ้นแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่แต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาหุ้นอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะของ  TECHNICAL REBOUND ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0% จึงอาจตีความได้ว่าราคาหุ้นได้ลดลงมาถึงระดับ  “WEAK”

   ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของหุ้น แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง (STRONG) จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้ STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง (TECHNICAL CORRECTION)   แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า

   

   สโตแคสติกส์แบบเร็ว FAST STOCHASTIC


   STOCHASTIC  แบบเร็วนี้ เป็นเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของระดับราคาในปัจจุบัน ภายในช่วงกว้างของระดับราคา ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งมีการแกว่งตัวที่รวดเร็วมาก จึงทำให้หลายฝ่ายไม่นิยมใช้ เนื่องจากมีการแกว่งตัวที่ผันผวนและไม่แน่นอน ดังนั้น SLOW STOCHASTIC จึงเป็นที่นิยมใช้มากกว่า STOCHASTIC นี้ประกอบด้วยค่าดัชนีสองค่าคือ %K และ %D โดยจะบอกถึงภาวะซื้อมากไป  (OVERBOUGHT) เมื่อ STOCHASTIC ตัดเส้น  80%  ขึ้นไป  คืออยู่ในช่วงระหว่างเส้น 80%  ถึง  100  % และจะบอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD)  เมื่อ  STOCHASTIC   เตือนชี้จะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 20% ลงมา  และสัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น  %Kตัดเส้น  %D ขึ้นไป   สำหรับสัญญาณเตือนขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 80% ขึ้นไป   และสัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %K ตัดเส้น  %D ลงมา

   FORMULA

   FAST %k  =  CURRENT CLOSE – LOWEST LOWn
                             HIGHEST HIGHn – LOWEST LOWn

   %D = 3 PERIOD MODIFIED MOVING AVERAGE OF FAST %k

   n =  NUMBER OF PERIODS

   

   สโตแคสติกส์แบบช้า SLOW STOCHASTIC


   SLOW STOCHASTIC  เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของราคา ที่ถูกทำให้ราบเรียบขึ้นจาก  FAST STOCHASTIC   ซึ่ง SLOW STOCHASTIC  ใช้  MODIFIED MOVING AVERAGE  ในการหาค่า  SLOW %K  เท่ากับ  3  PERIOD แต่ใน FAST STOCHASTIC ค่าของ  FAST %Kจะใช้MODIFIED MOVING AVERAGE เท่ากับ  1  PERIOD  หรือไม่มีการเฉลี่ยนั่นเอง

   FORMULA

   SLOW %K = 3 Period Modified Moving Average of FAST %K

   %D =  3 Period Modified Moving Average of  SLOW %K

   หลักการวิเคราะห์  SLOW STOCHASTIC  ใช้หลักเดียวกันกับ  FAST    STOCHASTIC

   

   สโตแคสติกส์แบบปรับปรุง MODIFIED STOCHASTIC


   MODIFIED  STOCHASTIC   เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องวัดการแกว่งตัวของราคา ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยสามารถทำให้ราบเรียบขึ้นจาก FAST STOCHASTIC หรือทำให้แกว่งตัวมากกว่า SLOW STOCHASTIC

   แต่เดิม  FAST  STOCHASTIC  ใช้   MODIFIED MOVING  AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาในการหาค่า  %D เท่ากับ  3 และ  SLOW STOCHASTIC   ใช้  MODIFIED MOVING AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาการหาค่า  %Kและ %D   เท่ากับ  3  แต่ใน  MODIFIE STOCHASTIC ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าของ MOVING AVERAGE เท่ากับช่วงเวลาใดๆก็ได้ และสามารถกำหนดรูปแบบของ  MOVING AVERAGE ได้ตามต้องการ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณหาค่า  %K
   และ %D

   หลักการวิเคราะห์ของ  MODIFIED STOCHASTIC  ใช้หลักเดียวกันกับ FAST และ   SLOW   STOCHASTIC

   

อธิบายการใช้ Trendline เพื่อทำกำไรจาก forex

 เส้นแนวโน้ม ( Trendline) เป็นเครืื่องมือที่ใช้ดูแนวโน้ม จุดกลับตัว และจุดเข้าจุดออก ในการเล่นฟอเร็กซ์ เทรนไลน์เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากสำหรับ Trader การใช้เทรนไลน์วัดแนวโน้ม สามารถลากได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การลากแนวโน้มขาขึ้น และลากแนวโน้มขาลง 
แนวโน้มขาขึ้นคือการลากจากจุดต่ำสุดเก่ามาหาจุดต่ำสุดใหม่ โดยที่จุดต่ำสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า และแนวรับของแนวโน้มขาขึ้นเราจะเรียกว่า Support Trendline 
แนวโน้มขาลงคือ การลากจากจุดสูงสุดเก่ามาหาสุดสูงสุดใหม่ โดยที่จุดสูงสุดเก่าต้องต่ำกว่าจุดสูงใหม่ใหม่ และแนวต้านของแนวโน้มขาลงเราจะเรียกว่า Resistance Trendline 
การลากเทรนไลน์เพื่อหาแนวรับแนวต้าน เราสามารถลากได้ทุกช่วงเวลา ( Time Frame ) ลากที่ Time Frame เล็กๆ ตั้งแต่ 5 นาทีจนถึง 1 ชั่วโมง เราจะเรียกว่าแนวรับแนวต้านรอง  Minor Support Trendline &  Minor Resistance Trendline และแนวรับแนวต้านหลัก คือการลาก ตั้งแต่ช่วงเวลา 4 H ไปจนถึง Month เราจะเรียกว่า Major Support Trendline & Major Resistance Trendline
ผมจะยกตัวอย่างการลากเทรนไลน์ขาขึ้นนะครับ เป็นกราฟของ GBP/USD โดยการลากที่ 5 นาทีก่อนนะครับ 
GBP/USD 5 Min

จะเห็นว่าผมเริ่มลากเทรนไลน์ จาหมายเลข 1 โดยที่ลากผ่านหมายเลข 2 ขึ้นไป แล้วเราก็รอจนราคาลงมาทดสอบเส้นเทรนไลน์ของเราอีักครั้ง ถ้าราคาลงมาทดสอบแล้วไม่สามารถผ่านเส้้นเทรนไลน์ที่ลากไว้ได้ ก็ เราก็จะ Buy ขึ้นไป แต่ถ้าราคาสามารถทะลุผ่านเส้นเทรนไลน์ลงมาได้ เราก็รอดูสัญญาณการกลับไปทดสอบเส้นเทรนไลน์อีกครั้ง( Retest) ถ้าไม่สามารถเทสผ่านได้ เราก็เปิด order sell กันได้เลย
เมื่อเปิดออเดอร์ sell กันแล้ว หลังจากนั้นเราก็มาเปิดที่ ช่วงเวลา 15 นาที จากนั้นก็ทำการลากเทรนไลน์เหมือนเดิม เพื่อหาแนวรับ ( Minor Support Trendline ) ดูรูปประกอบกันเลยนะครับ
GBP/USD 15 Min

 
จากรูปด้านบน จะเห็นว่า เส้นสีแดงคือเส้นที่เราขีดไว้ตั้งแต่กราฟ 5 นาที แต่สีน้ำเงินเราได้ลากเทรนไลน์เพื่อหาแนวรับในกราฟ 15 นาที ซึี่งราคาได้ลงมาชนเส้นเทรนไลน์ แล้วเราก็ดูว่า ราคาจะสามารถทะลุผ่านเส้นเทรนไลน์ 15 นาทีของเราได้หรือไม่ ถ้าราคาสามารถผ่านได้เราก็ถือ Order sell ต่อ แต่ถ้าไม่สามารถผ่านได้ เราก็ปิดออเดอร์ Sell แล้วหาจังหวะเพื่อเปิดออเดอร์ Buyกันต่อไป จะเห็นว่าเมื่อราคาลงมาชนเส้นแนวมีการปรับตัวขึ้นไปทันที
 
การใช้เทรนไลน์เพื่อหาแนวต้าน ( Resistance Trendline) เมื่อราคาวิ่งลงมา แล้วมีการปรับตัวขึ้นไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า ราคาจะไปหยุดตรงไหน ราคาจะกลับตัวตรงไหน จุดไหนที่คิดว่ามันสามารถจะไปต่อ หรือว่าจะกลับตัว ซึ่งเทรนไลน์สามารถบอกจุดเหล่านี้ได้ การหาแนวต้านล่วงหน้า เราสามารถหาได้จากการลากจุดจุดสูงสุดเก่ามาหาจุดสูงสุดใหม่ ดังรูปด้านล่างเลยครับ


 
จากรูป Resistance Trendline สามารถเลื่อนไปตามราคาได้ แนวต้านจะอยู่ประมาณเส้นที่ผมได้ทำลูกศรไว้ มาดูรูปด้านล่างเลยครับ จะเห็นว่าราคาเมื่อขึ้นมาชน Resistance Trendline แล้ว มีการกลับตัวทันที ซึ่งจุดนี้จึงเป็นจุดบอกการกลับตัวของราคาได้ครับ เมื่อราคาไม่สามารถผ่านจุดนี้ หรือราคาของแท่งเทียนไม่สามารถปิดสงกว่าเส้นแนวโน้มเส้นนี้ เราก็หาจังหวะ Sell กันได้เลยครับ ถ้าราคาไม่ลงตามที่เราคาดการณ์ไว้ เราก็ Cut Loss เมื่อราคาทะลุเส้นนี้ขึ้นไป แต่ถ้าเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ก็ปล่อยราคาลงจนเราพอใจ หรือไม่ก็รอจนกว่าจะมีการดีดกลับอีกครั้ง เราจึงปิดออเดอร์ Sell ครับ
 

อธิบายการใช้Moving Average Convergence Divergence (MACD)

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
   MOVING AVERAGES CONVERGENCE/ DIVERGENCE
 
   MACD สามารถบอกแนวโน้มได้ บอกการเกิด overbought, oversold และสามารถหาการเกิด divergenceขอยกให้ MACD เป็นราชาแห่ง indicator ที่ใช้ได้ดีกับทุกช่วงเวลา
 
   overbought คือ อยู่ในสภาพที่มีแรงซื้อมากเกินไปอิ่มตัวขาขึ้นแต่ไม่ใด้หมายความว่าเป็นจังหวะขายเสมอไป
   เพราะการอิ่มตัวขาขึ้น กราฟอาจจะวิ่งต่อได้
   oversold คือ อยู่ในสภาพที่มีแรงขายมากเกินไป อิ่มตัวขาลง แต่ไม่ใด้หมายความว่าเป็นจังหวะซื้อเสมอไป
   เพราะการอิ่มตัวขาลง กราฟอาจจะวิ่งต่อได้เหมือนกัน
 
   เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ในปัจจุบันนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธี แต่ละวิธีจะให้สัญญาณซื้อขายที่ถูกต้อง ชัดเจน ในสภาพตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เครื่องมือที่เหมาะสำหรับด
   วงจรหุ้นในระยะสั้น - ปานกลาง (4-6 อาทิตย์) ที่ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงกว้าง ๆ คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MACD)
 
   MACD เป็นเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคที่สร้างขึ้น และพัฒนาโดย GERALD APPEL ในปี ค.ศ.1979 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา (TREND FOLLOWING) สามารถใช้วัดระดับ (DEGREE) ตลาดว่าเป็นตลาด BULL หรือตลาด BEAR อ่านต่อ
 

อธิบายการใช้ indicator RSI

   เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ 
   RELATIVE STRENGTH INDEX

   

 RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้น สำหรับการลงทุนในช่วงหนึ่ง เพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (OVERBOUGHT) หรือขายมากเกินไป (OVERSOLD) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ OVERBOUGHT และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ OVERSOLD และยังใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของราคาหุ้นที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น กำลังใกล้จะอ่อนตัวลงหรือยัง โดยมีสัญญาณเตือนที่แสดงออกมาในรูปแบบของการแยกทางออก(DIVERGENCE) ระหว่างราคาหุ้นกับ 14 RSI
  
   ดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) คือ การคำนวณหาพละกำลัง ที่ซ่อนตัวอยู่ของตลาดหรือของหุ้นใดหุ้นหนึ่ง (INTERNAL STRENGTH) โดยดูจากอัตราส่วนที่ “แกว่ง” ไปมาอยู่ระหว่างการขึ้นลงโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ และภายใน “เวลา” ที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลา 14 วัน เราจึงเรียกว่า 14 RSI
  
   สูตรการคำนวณ  14 RSI
  
   RSI       =    100 -  100
              1+RS
  
   RS  =   ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นของราคาปิดใน 14 วัน
   ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงลดลงของราคาปิดใน 14 วัน
  
   หรือใช้สูตร
  
   RSI       =   100  XU
                           U+D
  
   U          =   AVERAGE OF 14 DAY’S UP CLOSES
   (ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นของราคาปิดใน 14 วัน)
   D          =   AVERAGE OF 14 DAY’S DOWN CLOSES
   (ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงลดลงของราคาปิดใน 14 วัน)
  
   ตัวอย่างการคำนวณ RSI ในช่วง 14 วัน
    

  
   ระดับซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไป (OVERBOUGHT & OVERSOLD)
  
   ระดับ “การซื้อมากเกินไป” ของ 14 RSI อยู่ที่บริเวณระดับสูงเกิน 70% ส่วนระดับที่มีการขายมากเกินไปอยู่ต่ำกว่าบริเวณ 30% และมีกฎว่าถ้าเส้น 14 RSI ลดต่ำลงมามากเท่าใดจะทำให้เกิดภาวะ OVERSOLD ซึ่งโอกาสที่ราคาหุ้นจะตีกลับขึ้นไปในลักษณะการ “ปรับตัวทางเทคนิค” มีอยู่สูง ในทางกลับกัน ถ้าเส้น 14 RSI วิ่งสูงขึ้นจนเข้าไปในเขต OVERBOUGHT แล้ว โอกาสที่ราคาหุ้นจะมีการปรับตัวลงก็มีเช่นเดียวกัน
  
   การใช้ 14 RSI ในการวิเคราะห์แผนภูมิราคามี  5 วิธี
  
   1.  ดูยอด (TOP) และฐาน (BOTTOM) มักจะเกิดยอดเหนือเส้น 70 และเกิดฐานใต้เส้น 30 โดยปรากฏยอดและฐานให้เห็นก่อนตลาด
  
   
  
   2.  ใช้ดูรูปแบบซึ่งจะใช้ดูเช่นเดียวกับรูปแบบที่เกิดในแผนภูมิราคา แต่จะให้ความสำคัญกับรูปแบบ HEAD & SHOULDERS ; DOUBLE TOPS & DOUBLE BOTTOMS ในลักษณะเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาหุ้นจะมีการเปลี่ยนทิศทาง โดยเฉพาะถ้ารูปแบบนั้นเกิดขึ้นในบริเวณเขต OVERBOUGHT หรือOVERSOLD
  
   
  
   3.        ดูการเหวี่ยงตัวของ 14 RSI ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย (FAILURE SWING) โดยการตวัดกลับครั้งต่อไปไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในบริเวณเขต OVERBOUGHT หรือ OVERSOLD
  
   
  
   TOP FAILURE SWING เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 (A) และยอดสูงใหม่ © อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเก่า (A) โดย TOP FAILURE SWING จะสมบูรณ์ เมื่อเส้น RSI เคลื่อนที่จากจุดยอด © ลงต่ำกว่าจุดต่ำสุด (B) ทีอยู่ระหว่างยอดสูงทั้งสอง (A และ C)
  
            สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง
  
               เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง (A)
               เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน (AC)
               เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน (B)
            โดยทั่วไปแล้วสัญญาณขายตามข้อ 3. จะมีความแม่นยำสูงสุด
  
   
  
   BOTTOM FAILURE SWING เกิดขึ้นเมื่อจุดฐานของ RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 A) และจุดฐานใหม่ (C) อยู่สูงกว่าจุดฐานเก่า (A) โดย BOTTOM FAILURE SWING จะสมบูรณ์เมื่อเส้น RSI เคลื่อนที่จากจุดฐาน (C) ขึ้นสูงกว่าจุดสูงสุด (B) ที่อยู่ระหว่างจุดฐานทั้งสอง (A และ B)
  
   สัญญาณการซื้อจะมีอยู่  3 ช่วง
  
               เมื่อเส้น  RSI  อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน  (A)
               เมื่อเส้น  RSI  ไม่ทะลุเส้นหนุน  (AC)
               เมื่อเส้น  RSI  ทะลุเส้นต้าน (B)
            โดยทั่วไปแล้วสัญญาณซื้อตามข้อ 3. จะมีความแม่นยำสูงสุด
  
   
  
   4.  การดูแนวหนุนและแนวต้าน บางครั้ง RSI จะแสดงระดับของแรงหนุน-แรงต้านได้ชัดเจนกว่าแผนภูมิราคา โดยการใช้เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้ม เช่น TRENDLINES,  MOVING AVERAGES
  
   
  
   5.  การแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI

   NEGATIVE DIVERGENCE

  
   ในตลาดที่มีแนวโน้มขึ้น เมื่อเกิดลักษณะการเคลื่อนที่แยกทางกัน (DIVERGENCE) โดยเกิดขึ้นเมื่อราคาใหม่ (C) ขึ้นสูงกว่ายอดสูงของราคาเก่า (A)แต่ RSI ยอดใหม่ (C) อยู่ต่ำกว่า RSI ยอดเก่า (A) ตรงจุดนี้จะเป็นสัญญาณเตือนว่าการวิ่งขึ้นของราคาจะวิ่งต่อไปได้อีกไม่นาน แล้วจะปรับตัวลงมาตาม RSI
  
   

   POSITIVE DIVERGENCE

  
   ในตลาดที่ราคามีแนวโน้มลดลง เมื่อยอดต่ำใหม่ของราคา (C) อยู่ต่ำกว่ายอดต่ำเก่าของราคา (A) ในขณะที่ RSI ยอดใหม่ (C) อยู่สูงกว่า RSI ยอดเก่า (A) ตรงจุดนี้จะเป็นสัญญาณเตือนว่า ราคาน่าจะสามารถสะท้อนกลับสูงขึ้นได้ในไม่ช้านี้ หรืออาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่า การลดต่ำลงของราคานั้นใกล้จะจบลง
  
   
  
   ข้อสังเกตของ RSI
  
   1.   ปกติยอดสูงที่สูงกว่า 70 และยอดต่ำที่ต่ำกว่า 30 จะมีความสำคัญในการวิเคราะห์
   2.   FAILURE SWINGS (SUPPORT AND RESISTANCE PENETRATION) จะเป็นสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคา
   3.   โดยทั่วไปแล้ว RSI จะแสดงระดับแรงหนุน และแรงต้านได้ชัดกว่าราคา
   4.   เมื่อ RSI เคลื่อนที่ไม่ตามกันกับราคา (DIVERGENCE) จะชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่ราคาจะเปลี่ยนไปตามทิศทางของ RSI

คลิปการใช้ Indicator RSI เบื้องต้น


การใช้งานเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ MOVING AVERAGE (MA)

  เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ MOVING AVERAGE (MA)




      เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้กันแพร่หลายวิธีหนึ่ง เนื่องจากใช้ได้ง่ายและสามารถนำไปใช้ประกอบกับเครื่องมือทางเทคนิคต่าง ๆ ได้อีกด้วย นอกจากนั้น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MOVING AVERAGE) ยังสามารถให้สัญญาณที่ไม่คลุมเครือซึ่งต่างจากเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น การวิเคราะห์รูปแบบของราคา (PRICE PATTERN) ที่มีความไม่แน่นอนสูง
          

      หลักการคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบพื้นฐาน ทำได้โดยนำราคาของวันปัจจุบันและวันก่อนหน้านี้มารวมกัน แล้วหารด้วยจำนวนวันที่ต้องการเฉลี่ยทั้งหมด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเส้นค่าเฉลี่ยนั้นว่า จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มในระยะสั้น กลาง หรือระยะยาว และสำหรับวันถัดไปสามารถหาค่าเฉลี่ยได้ โดยตัดข้อมูลวันแรกสุดออกไป และเอาราคาของวันล่าสุดเข้ามาแทนที่ จากนั้นก็นำมาคำนวณโดยวิธีเดียวกัน เช่น ถ้าต้องการหาค่าเฉลี่ยระยะสั้น 10 วัน ราคาสำหรับ 10 วันสุดท้ายจะถูกนำมารวมกันแล้วหารผลทั้งหมดด้วย 10 เนื่องจากข้อมูลทั้งหมด (ในที่นี้คือ 10 วัน แล้วหารผลทั้งหมดด้วย 10 เนื่องจากข้อมูลทั้งหมด (ในที่นี้คือ 10 วันสุดท้าย) จะถูกเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MOVE) ไปข้างหน้า จึงเรียกว่า “ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่”


      สำหรับการหาค่าเฉลี่ยในวันถัดไป ทำได้โดยนำราคาของวันใหม่ (วันที่ 11) เข้ามาและตัดวันที่ย้อนหลังไป 11 วัน (คือวันแรกสุดที่ใช้คำนวณ) ก็จะได้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วันสำหรับวันถัดมาซึ่งการหาค่าเฉลี่ย ส่วนใหญ่จะใช้ราคาปิดมาคำนวณ แต่บางครั้งมีการใช้ราคาสูงสุด หรือต่ำสุด หรือราคากลาง หรือราคาเฉลี่ย มาคำนวณหาเส้นค่าเฉลี่ยเช่นกัน เนื่องจากมีนักวิเคราะห์บางคนให้ความเห็นว่าการใช้ราคาสูง และราคาต่ำ จะสะท้อนให้เห็นถึงราคาที่แท้จริงที่ทำการซื้อขายในแต่ละวัน ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จะช่วยบอกนักลงทุนที่ซื้อหุ้นในช่วงเวลานั้น ๆ ว่ามีต้นทุน เฉลี่ยอยู่ที่ระดับราคาประมาณเท่าไร และเรายังสามารถนำเส้นค่าเฉลี่ยฯ มาช่วยในการตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นแต่ละตัว โดยการหาสัญญาณซื้อ และขายหรือพยากรณ์แนวโน้มของตลาดหรือราคาหุ้น และนี่คือเหตุผลสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ สามารถนำมาใช้วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในระยะสั้น และระยะกลาง
          

      เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถคำนวณได้ใน 5รูปแบบ คือ



      1. SIMPLE MOVING AVERAGE

       

      2. WEIGHTED MOVING AVERAGE

       

      3. MODIFIED MOVING AVERAGE

       

      4. EXPONENTIAL MOVING AVERAGE

       

      5. HAMMING MOVING AVERAGE

       

      ช่วงเวลาที่ใช้


       

      ปัจจุบันช่วงเวลาที่นิยมใช้ในการแบ่งกลุ่มของผู้ลงทุน คือ

       

      10 วัน (2 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น

       

      25 วัน (5 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง

       

      75 วัน (15 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง

       

      200 วัน (40 สัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว

    

      โดยช่วงเวลาทั้ง 4 ได้ผ่านการทดสอบแล้วและเหมาะสมสำหรับตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ดี ช่วงระยะเวลานี้อาจจะแตกต่างออกไปตามความนิยมใช้ของผู้ลงทุนแต่ละกลุ่ม เช่น ระยะสั้นอาจเป็น 12 วัน ระยะยาวอาจมีช่วงสั้นลงเป็น 150 วัน หรือ 30 สัปดาห์ แต่สำหรับระยะปานกลางมักจะใช้ 75 วันหรือ 15 สัปดาห์เป็นหลัก และเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่ใช้จำนวนวันน้อย ๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยฯ 5 วันหรือ 10 วันจะเปลี่ยนแปลงไปตามราคามากกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว เช่น 40 วัน


      สำหรับในสภาพตลาดที่มีลักษณะที่เด่นชัด (BULL OR BEAR MARKET) การใช้เส้นค่าเฉลี่ยฯ ระยะสั้นจะได้ผลมากกว่า แต่ในภาวะที่ตลาดมีลักษณะไม่ชัดเจน (SIDEWAYS) เราควรใช้เส้นค่าเฉลี่ย ระยะยาว ในการหาสัญญาณซื้อหรือขาย


      การหาสัญญาณซื้อ-ขายโดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


      จากการที่เส้นราคาหุ้นย่อมนำหน้าเส้นราคาเฉลี่ย ดังนั้นความสัมพันธ์ของเส้น 2 เส้น จึงมีความสำคัญในการบอกถึงการเปลี่ยนทิศทางของราคาหุ้น และจะนำมาช่วยในการบอกถึงสัญญาณซื้อและขายได้ โดยเส้นค่าเฉลี่ยฯ ทั้ง 5 แบบจะมีหลักในการหาสัญญาณซื้อหรือขายคล้าย ๆ กัน ซึ่งสามารถบอกความสัมพันธ์ได้ดังนี้


      1. เมื่อราคาเคลื่อนขึ้น และทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เคลื่อนขึ้นตาม จะถือเป็นสัญญาณซื้อ
 
      2. เมื่อเส้นราคาหุ้นทะลุขึ้น ผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เปลี่ยนจากเคลื่อนที่ลงเป็นขึ้น และสามารถยืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยฯ ได้นานพอสมควร ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ
 
      3. เมื่อราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เคลื่อนลงตาม จะถือเป็นสัญญาณขาย
 
      4. เมื่อเส้นราคาหุ้นทะลุลง ผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เปลี่ยนจากเคลื่อนที่ขึ้นเป็นลง และอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ยฯ นานพอสมควร ให้ถือเป็นสัญญาณขาย


      
 
      5. ในแนวโน้มขึ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นเร็ว และสูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยฯ มาก อาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณขาย และหลังจากราคาได้ปรับตัวลงมาใกล้เส้นค่าเฉลี่ยฯ และเริ่มวกกลับขึ้นไป ให้ถือเป็นสัญญาณซื้อ


      


      6. ในแนวโน้มลง เมื่อราคาหุ้นลงเร็ว และต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยฯ มากอาจมีการปรับตัวขึ้นในระยะสั้น จะถือเป็นสัญญาณซื้อและหลังจากราคาได้ปรับตัวขึ้นมาใกล้เส้นค่าเฉลี่ย ๆ และเริ่มวกกลับลงไปให้ถือเป็นสัญญาณขาย
 
      
 
      ความสัมพันธ์ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นกับระยะยาว
 
      ความสัมพันธ์ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยฯ ด้วยกันเองนั้น มีความสำคัญยิ่งในการนำมาใช้ยืนยันถึงความสัมพันธ์ของราคากับเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่เกิดมาก่อนหน้านี้ ว่ามีแนวทางที่เป็นไปถูกต้องแล้ว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของเส้นค่าเฉลี่ยฯระยะปานกลางกับระยะยาว เช่น ถ้าดัชนีราคาซึ่งเคยมีแนวโน้มลงมาตลอดกลับเปลี่ยนเป็นเคลื่อนขึ้นและตัดทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ 40 สัปดาห์ (200 วัน) ขึ้นไปได้ โดยมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยฯ นี้เป็นระยะเวลาหนึ่งจนทำให้เส้นค่าเฉลี่ยฯ 15 สัปดาห์ (75 วัน) โค้งขึ้นมาตัดเส้นค่าเฉลี่ยฯ 40 สัปดาห์ ได้เช่นนี้ เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการขึ้นของดัชนีราคาหุ้นนั้นเป็นไปอย่างถูกทิศทาง และจะมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไปได้ในระยะยาว ดังรูป
 
      
 
      ในกรณีที่เริ่มเห็นชัดว่า ตลาดได้เปลี่ยนสภาพเป็นแนวโน้มลงอย่างรวดเร็ว ควรรีบตัดสินใจขายหุ้นทันทีเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยฯ 2 สัปดาห์ (10 วัน) เคลื่อนลงมาตัดเส้น 5 สัปดาห์ (25 วัน) โดยไม่ต้องรอการยืนยันจากการที่เส้น 15 สัปดาห์ (75 วัน) ตกทะลุเส้น 40 สัปดาห์ (200 วัน) ก่อนและผู้ลงทุนควรหยุดพักการลงทุนและรอคอย จังหวะใหม่ของหุ้น นอกจากนี้ เราสามารถนำความสัมพันธ์ระหว่าง เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่กับดัชนีราคา มาช่วยในการตัดสินใจลงทุน นอกเหนือจากการหาสัญญาณซื้อ-ขาย โดยสามารถใช้บอกแนวโน้มได้ดีอีกด้วย กล่าวคือ
 
      ถ้าดัชนีมีแนวโน้มลดลงตลอด กลับเปลี่ยนทิศเป็นเคลื่อนขึ้น และตัดทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 40 สัปดาห์ (200 วัน) ขึ้นไปอยู่ระยะเวลาหนึ่งจนสามารถทำให้เส้นค่าเฉลี่ยฯ 15 สัปดาห์ (75 วัน) โค้งขึ้นมาตัดเส้นค่าเฉลี่ยฯ 200 วัน ได้ก็เป็นการยืนยันได้ว่า การขึ้นของดัชนีราคาเป็นไปถูกทิศทางและมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไปในระยะยาว
 
      ตรงจุดตัดที่เส้นค่าเฉลี่ย 75 วันตัดเส้น 200 วันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (ตัดขึ้น) ถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งตลาดบูล หรือ GOLDEN CROSS ซึ่งเส้นค่าเฉลี่ยฯ 75 วันเป็นตัวสำคัญในการบอกความยาวนานของตลาดบูล (BULL MARKET) เพราะถ้าเส้นค่าเฉลี่ย 75 วันเริ่มเปลี่ยนทาง (โค้งลง) จนมาตัดเส้น 200 วันแล้ว แสดงว่า BULL ถึงจุดสิ้นสุดหรือเกิด DEAD CROSS
 
      การใช้เส้นค่าเฉลี่ยฯกับหุ้นเป็นรายตัว ควรเลือกหุ้นที่มีการขึ้นหรือลงอย่างเร็ว แม้ความเสี่ยงจะสูง แต่การใช้เส้นค่าเฉลี่ยฯ จะช่วยแสดงสัญญาณซื้อขายได้
 
      และการที่ราคาหุ้นตัดเส้นค่าเฉลี่ยฯ ขึ้นหรือลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าหุ้นนั้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง แต่จะบอกได้แน่นอนขึ้นเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยฯ เปลี่ยนทิศทางไปในทางเดียวกันด้วย เส้นค่าเฉลี่ยฯ จะเป็นแนวหมุนเมื่อหุ้นที่วิ่งอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยฯ มีการปรับตัวลง และเป็นแนวต้านเมื่อหุ้นที่อยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ยฯ มีการปรับตัวขึ้น
         

      ตัวอย่างการใช้เส้นค่าเฉลี่ยฯ กับดัชนีตลาดหุ้นไทย

 
      ความสัมพันธ์ระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยฯ ระยะสั้นกับระยะยาว อาจนำมาทดสอบเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทยตามแผนภูมิดังนี้ :
 
      
 
      จากแผนภูมิ เกิดลักษณะของจุดตัดที่เรียกว่า DEAD CROSS (จุดที่เส้นค่าเฉลี่ยฯ 15 สัปดาห์ โค้งลงมาตัดเส้นค่าเฉลี่ยฯ 40 สัปดาห์) ซึ่งแสดงถึงตลาดบูล (BULL) ได้ผ่านพ้นไปแล้วสองครั้งด้วยกัน จุดตัดทุกครั้งเกิดจากเส้นค่าเฉลี่ยฯระยะสั้น 15 สัปดาห์เคลื่อนทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยฯ 40 สัปดาห์ลงมา และทำให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในสภาพ BEARISH อยู่ระยะเวลาหนึ่ง
 
      หมายเหตุ : การใช้เส้นค่าเฉลี่ยฯ 15 และ 40 สัปดาห์ ในการแสดงแนวโน้มของตลาดที่เป็น BULL หรือ BEARISH นั้น อาจจะไม่เหมาะสมกับ ตลาดหุ้นไทย นักวิเคราะห์จึงได้ปรับใช้เส้นค่าเฉลี่ยฯ ให้มีระยะเวลาสั้นลง เช่น 10 วัน กับ 40 วัน หรือ 12 วัน กับ 25 วัน ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับ สภาพตลาดไทยที่มีการเคลื่อนไหวค่อนข้างรวดเร็ว
 
      ข้อจำกัดของ MOVING AVERAGES
 
      เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยฯ จะสะท้อนราคาหุ้นในอดีต การเคลื่อนไหวจึงเชื่องช้า (LAG) กว่าดัชนีราคา ซึ่งจะไม่สามารถบอกจุดสูงสุดต่ำสุดของตลาดได้ กล่าวคือ
 
      ประการแรก จุดตัดของเส้นค่าเฉลี่ยฯ 15 กับ 40 สัปดาห์ ที่ใช้ยืนยันถึงสภาพ BULL MARKET เป็นจุดตัดที่ราคาหุ้นได้เคลื่อนที่ขึ้นจากจุดต่ำสุดค่อนข้างสูงมากแล้ว โอกาสที่จะทำกำไรสูงสุดย่อมลดลง
 
      ประการที่สอง ความเสี่ยงมีสูงโดยเฉพาะในกรณีที่ตลาดหุ้นถึงจุดจบ และราคาหุ้นตกอย่างรวดเร็ว ผู้ลงทุนย่อมเกิดความเสียหายไปมากแล้ว เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยฯ เพิ่งจะยืนยันว่าตลาดถึงจุดจบ


      ดังนั้น จึงต้องมีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ มาประกอบการพิจารณาร่วมด้วย เช่นการใช้ MOVING AVERAGE SHIFT
 

      MOVING AVEAGE SHIFT

 
      วิธีนี้เป็นอีกวิธีหนึ่ง ในการมองหาแนวรับแนวต้านที่ปรากฏอยู่ว่าเป็นอย่างไร สามารถทำได้โดยการย้ายเส้นค่าเฉลี่ยฯ เดิมทั้งเส้นไปข้างหน้าหรือข้างหลัง บางครั้งจะถูกมองข้ามความสำคัญไป แต่วิธีนี้เป็นส่วนสำคัญในระบบการซื้อขายโดยใช้ค่าเฉลี่ยนเคลื่อนที่ เพื่อช่วยให้สามารถมองภาพรวมของตลาด และช่วยในการหาสัญญาณซื้อขายได้ง่ายขึ้น หลักการดูคือ ถ้าราคาอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยฯ ที่ย้าย (SHIFT) ไปก็ถือเป็นแนวต้าน ในทำนองเดียวกัน เมื่อราคาอยู่สูงกว่าเส้นค่าเฉลี่ยฯ เส้นค่าเฉลี่ยที่ย้าย (SHIFT) ก็จะเป็นแนวรับ สำหรับวิธีการย้ายเส้นค่าเฉลี่ยฯ สามารถทำได้โดยเคลื่อนย้าย (SHIFT) เส้นค่าเฉลี่ยฯ ทั้งเส้นไปทางขวา ในกรณีย้ายเส้นในทางบวก (POSITIVE SHIFTED) และย้ายเส้นค่าเฉลี่ย ทั้งเส้นไปทางซ้ายในกรณีย้ายเส้นในทางลบ (NEGATIVE SHIFTED) ของเส้นค่าเฉลี่ยฯ เดิม ตามรูป



      
 
      รูปแสดงการย้าย (SHIFT) เส้น SMA 10 วัน ไปข้างหน้า 10 วัน (ทางขวามือ)



      
 
      รูปแสดงการย้าย (SHIFT) เส้น SMA 10 วัน ถอยหลังไป 10 วัน (ทางซ้ายมือ)
 
      ช่วงเวลาที่ใช้ในการย้ายเส้นค่าเฉลี่ยฯ ไม่มีกำหนดแน่นอนตายตัว แต่จำนวนวันที่ย้ายควรจะน้อยกว่าจำนวนวันของเส้นค่าเฉลี่ยฯเดิม เช่น ถ้าต้องการ SHIFT เส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน จำนวนวันที่ย้ายก็ไม่ควรเกิน 25 วัน โดยเทียบจากเส้น MOVING AVERAGE
 
      MOVING AVERAGE SHIFT ถูกรวมเป็นทางเลือกหนึ่งในการใช้ประกอบกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในการตัดสินใจลงทุน และยังได้ถูกรวมเป็นทางเลือกหนึ่งของเครื่องมือวิเคราะห์อื่นบางชนิด เช่น ดัชนีการแกว่งของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MOVING AVERAGE OSCILLATOR)
 

      รูปแบบของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ


      SIMPLE MOVING AVERAGE (SMA)



      เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย หรือค่าเฉลี่ยเลขคณิต (ARITHMETIC MEAN) นี้ เป็นวิธีที่นักวิเคราะห์ใช้กันแพร่หลายมากที่สุด ในการหาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ วิธีนี้จะถ่วงน้ำหนักให้ค่าทุกค่าที่นำมาคำนวณมีความสำคัญ (อิทธิพล) ต่อราคาเท่ากันหมด โดยอาศัยหลักการเอาข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งมาหาค่าเฉลี่ยกัน เช่น การหาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาในช่วงเวลา 10 วัน จะคำนวณโดยรวมราคาหุ้น ณ วันปัจจุบัน (Pt) กับราคาหุ้นของอีก 9 วันก่อนหน้า (Pt-1 ถึง Pt-9) แล้วหารด้วย 10 หลังจากนั้นนำมาจุดบนแผนภูมิแท่ง (BAR CHART) หรือแผนภูมิเส้น (LINE CHART) ให้ตรงกับราคาหุ้นครั้งสุดท้ายแล้วลากเส้นต่อกัน
 

      วิธีการคำนวณ



      SMA= (Pt + Pt - 1 + P1-2 + … + Pt-n+1) /n
 
      โดยที่ :
 
      SMAt คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ณ คาบเวลา (วัน) ปัจจุบัน
 
      n คือ จำนวนวัน


      Pt คือ ราคาที่เลือกใช้ในการคำนวณ (เช่น ราคาปิดหรือราคาเฉลี่ยฯ) ณ วันปัจจุบัน
 
      Pt-k คือ ราคาที่เลือกใช้ในการคำนวณย้อนหลังไป k คาบเวลา
 
      
 
      รูปแสดงเส้นค่าเฉลี่ยฯชนิด SMA 10, 25 และ 75 วัน
 
      อย่างไรก็ดี ยังมีปัญหาถกเถียงเกี่ยวกับความถูกต้องแม่นยำของวิธีนี้คือ ค่าเฉลี่ยฯที่ได้นี้จะมีผลในช่วงระยะเวลาที่ใช้ในการคำนวณเท่านั้น การหาแนวโน้มที่ได้จึงไม่ใช่แนวโน้มที่มาจากข้อมูลทั้งหมด นอกจากนี้ วิธีการคำนวณ SMA ให้ความสำคัญกับทุก ๆ วันเท่ากัน เช่น ในการหา SMA 10 วัน วันแรกถึงวันสุดท้ายจะถูกถ่วงน้ำหนัก (WEIGHTED) ด้วยค่าที่เท่ากันหมด (10%) ซึ่งมีนักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า ควรจะให้ความสำคัญกับราคาในวันที่ใกล้เคียงกับวันปัจจุบันมากกว่า


      WEIGHTED MOVING AVERAGE (WMA)
 
      วิธีการคำนวณ


       [Pnt + Pt-1 (n-1) + (Pt-2 (n-2) + … + t-n+1 (1)]
      WMAt =


      n + (n-1)+(n-2) + … + 2 + 1
 
      โดยที่
 
      WMAt คือ ค่าเฉลี่ยฯถ่วงน้ำหนัก ณ วันปัจจุบัน
 
      Pt คือ ราคาที่เลือกใช้ในการคำนวณ (เช่น ราคาปิดหรือราคาเฉลี่ยฯ) ณ วันปัจจุบัน
 
      Ptt-k คือ ราคาที่เลือกใช้ในการคำนวณย้อนหลังไป k คาบเวลา
 
      n คือ จำนวนห้องของค่าเฉลี่ยฯ
 
      วิธีนี้เกิดจากความพยายามในการแก้ปัญหาในเรื่องการถ่วงน้ำหนักจากวิธี SMA โดยให้ความสำคัญกับวันที่ใช้คำนวณวันสุดท้ายมากที่สุด โดยวันถัดไปจะถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ และความไวของเส้นค่าเฉลี่ยฯ ถ่วงน้ำหนักนี้ มักจะนำหน้าเส้นค่าเฉลี่ยฯอย่างง่าย ดังรูป
 
      
 
      รูปแสดงเส้นค่าเฉลี่ยฯ ชนิด WMA 10, 25 และ 75 วัน
 
      อย่างไรก็ดี เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนักนี้ อธิบายได้เพียงแค่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในช่วงของเวลาที่พิจารณาอยู่เหมือนกับวิธี SMA มิได้ครอบคลุมถึงราคาในช่วงเวลาที่ผ่านมา
 

      MODIFIED MOVING AVERAGE

 
      วิธีนี้จะมีลักษณะคล้ายกับวิธี SMA แต่ค่าที่ได้มักจะไม่ค่อยไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็วเหมือนกับ SMA หรือ WMA และเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายซึ่งสามารถคำนวรด้วยมือได้ เพราะใช้เพียงค่าเฉลี่ยของผลต่างระหว่างราคาปัจจุบันกับค่าเฉลี่ยย้อนหลังไป 1 คาบเวลา
 
      โดยมีสูตรการปรับค่าเฉลี่ยฯ ดังนี้
 
      MMAt = MMAt-1 + [Pt - (MMAt-1)] / n


      โดยที่ :
 
      MMAt คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ณ วันปัจจุบัน
 
      MMAt-1 คือ ค่าเฉลี่ยฯ ย้อนหลังไป 1 คาบเวลา
 
      Pt คือ ราคาปัจจุบัน
 
      n คือ จำนวนวัน
 
      หมายเหตุ : การคำนวณค่าเฉลี่ยของวันแรก จะใช้ SMA
 
      
 
      รูปแสดงเส้นค่าเฉลี่ยฯ ชนิด MMA 10, 25 และ 75 วัน


      EXPONENTIAL MOVING AVERAGE (EMA)


      วิธีนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น วิธีนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญของเวลาในการวิเคราะห์ ราคาทุกราคาจะมีผลต่อค่าของ EMA แม้ว่าราคาล่าสุดจะมีความสำคัญมากที่สุดก็ตาม ซึ่งวิธีนี้เป็นการพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจากวิธี SMA กล่าวคือ EMA นั้น จะถ่วงน้ำหนักโดยให้ความสำคัญกับวันสุดท้ายมากที่สุด และจะเอาค่าทุก ๆ ค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยจะไม่ทิ้งข้อมูลเก่าที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่าทุกค่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา
 
      ขณะที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัวอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อคาบเวลา แต่ EMA จะให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า SMOOTHING FACTOR (SF) หรือ SMOOTHING CONSTANT โดยที่ SF = 2/(n+1) ซึ่งวิธีการสร้าง EMA มีสูตรการคำนวณคือ
 
      EMA = EMAt-1 + SF(Pt - EMAt-1)
 
      เมื่อ EMAt คือ ค่าของ Exponential Moving Average ณ เวลาปัจจุบัน
 
      EMAt-1 คือ ค่าของ Exponential Moving Average ณ คาบเวลาก่อนหน้า
 
      SF คือ ค่าของ Smoothing Factor = 2/(n+1)
 
      Pt คือ ราคาปัจจุบัน
 
      n คือ จำนวนวัน


      หมายเหตุ : การคำนวณค่าเฉลี่ยของวันแรก จะใช้ราคาในวันแรกนั้นเป็น EMA
 
      
 
      รูปแสดงเส้นค่าเฉลี่ยฯ ชนิด EMA 10, 25 และ 75 วัน
 
      HAMMING - WEIGHTED MOVING AVERAGE (HMA)
 
      HAMMING - WEIGHTED MOVING AVERAGE เป็นวิธีที่ปรับใช้ตัวแปรสำหรับถ่วงน้ำหนักให้กับข้อมูลราคา โดยมีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์แบบ SPECTRAL ANALYSIS หรือวิธี HAMMING การเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักแบบ HAMMING จะให้ผลที่ถูกต้องต่อข้อมูลที่มีการเคลื่อนไหวแบบวัฏจักร (CYCLE) ดีกว่าวิธีหาเส้นค่าเฉลี่ยแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของราคาที่ผิดปกติ และให้ความถูกต้องในการชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มได้ดีกว่า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบการใช้ค่าเฉลี่ยโดยวิธีนี้กับการเฉลี่ยแบบอื่น ๆ จะพบว่าวิธี HAMMING AVERAGE นี้อาจช่วยหาสัญญาณซื้อขายได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ
 
      
 
      รูปแสดงเส้นค่าเฉลี่ยฯ ชนิด HMA 10, 25 และ 75 วัน
 
      เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบล้อมกรอบ
 
      MOVING AVERAGE ENVELOPES



      เป็นเครื่องมือวิเคราะห์โดยการหาช่องการซื้อขายหุ้น (TRADING BANDS) เพื่อนำมาเป็นกรอบบน (UPPER BAND) และกรอบล่าง (LOWER BAND) สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น โดยวิธีการเคลื่อนเส้นค่าเฉลี่ย (เส้นใดเส้นหนึ่งตามแต่เราจะเลือก เช่น เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน 25 วัน หรือ 75 วัน) ขึ้นและลง ในลักษณะเป็นแนวตั้งฉากเส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นจุดศูนย์กลาง และลากเส้นขนานไปกับเส้นค่าเฉลี่ยที่โดยมีระยะห่างที่คงที่ กรอบบนและกรอบล่างดังกล่าวนี้ทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวกลั่นกรอง (FILTER) สัญญาณซื้อหรือขาย จากการที่ราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยขึ้นหรือลง ทั้งนี้เนื่องจากการที่นักลงทุนใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพียงอย่างเดียวมาวิเคราะห์ โดยการหาสัญญาณซื้อขายเมื่อราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยขึ้นหรือลง ทำให้นักลงทุนต้องพบกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างเช่น เมื่อเส้นราคาตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ขึ้นไปตามทฤษฎีซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกให้นักลงทุนซื้อหุ้น และเมื่อนักลงทุนซื้อหุ้นนั้นแล้ว บางครั้งราคากลับไม่ยอมขึ้นไปต่อตามสัญญาณที่บอก แต่กลับดีดตัวลงทำให้นักลงทุนต้องสูญเสียการทำกำไรไป ดังนั้นเครื่องมือวิเคราะห์ตัวนี้จึงเป็นตัวที่ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับนักลงทุนได้
 
      ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบล้อมกรอบ ประกอบด้วยเส้น 3 เส้น โดยมีเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อยู่ตรงกลาง และมีเส้นขนานทั้งด้านบนและด้านล่างของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ โดยเส้นขนานด้านบนเรียกว่า กรอบบน (UPPER BAND) ส่วนเส้นขนานด้านล่างเรียกว่า กรอบล่าง (LOWER BAND)
 
      และสามารถหาได้จากสูตร
 
      BU = Mat + cMAt


      BL = Mat - cMAt


      โดยที่

      BU = เส้นกรอบบน
 
      BL = เส้นกรอบล่าง
 
      c = เปอร์เซ็นต์ อยู่ระหว่าง 0 ถึง 100
 
      MAt = เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10, 25, 75, 200, ….
 
      ช่องว่างระหว่างกรอบบนและกรอบล่าง จะเรียกว่า ช่องการซื้อขายหุ้น (TRADING BANDS) ที่เกิดขึ้นจากช่องว่างระหว่างกรอบบนกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และกรอบล่างกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ที่จะมีขนาดกว้างมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่ที่เราจะเป็นผู้กำหนด แต่โดยปกติจะอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 และช่องระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่และเส้นกรอบบน เรียกว่า ความเสี่ยงในการซื้อ (BUYING RISK) ส่วนช่องว่างระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่กับเส้นกรอบล่าง เรียกว่า ความเสี่ยงในการขาย (SELLING RISK) กรอบบนจะทำหน้าที่เป็นแนวต้าน เมื่อราคาหุ้นผ่านเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ขึ้นมาพบกับเส้นกรอบบน ราคาหุ้นมีโอกาสที่จะดีดตัวกลับลงมาได้ ดังนั้นนักลงทุนควรจะขายหุ้นเมื่อราคาวิ่งขึ้นมาถึงเส้นกรอบบน ในทางกลับกันกรอบล่างจะทำหน้าที่เป็นแนวรับ เมื่อราคาหุ้นผ่านแล้วค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ลงมาพบกับเส้นกรอบล่างราคาหุ้นก็มีโอกาสที่จะเด้งกลับขึ้นมาได้ ณ จุดดังกล่าว นักลงทุนจึงควรจะซื้อหุ้น
 
      

หลักการเบื้องต้นในการวิเคราะห์แนวโน้ม

   หลักการเบื้องต้นในการวิเคราะห์แนวโน้ม

    
   การ วิเคราะห์กราฟนั้น สิ่งแรกที่เราควรเรียนรู้คือ แนวโน้มของราคา แนวโน้มหรือเทรน (Trend) จะสามารถบ่งบอกเราได้ว่า ราคากำลังจะไปทางไหน ราคาจะขึ้นหรือลง ซึ่งการวิเคราะห์แนวโน้มนั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1. แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) 2. แนวโน้มขาลง (Down Trend) 3. ไม่มีทิศทางที่แน่นอน (Sideway)
    

   1. แนวโน้มขาขึ้น (Up Trend)

   แนวโน้มขาขึ้น Up Trend คือ จุดสูงสุดของราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ และจุดต่ำสุดใหม่ของราคาก็สูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า
   ผมแทน จุดสูงสุด (High=H) และจุดต่ำสุด (Low=L)
   นิยามของ Up Trend คือ Hn > ... H3>H2>H1 เมื่อ n คือ จำนวนใดๆ ความหมายคือ H3 ต้องสูงกว่า H2 และ H2 ต้องสูงกว่า H1
   และ Ln>.. L3>L2>L1 เมื่อ n คือจำนวนใดๆ ความหมายคือ L3 ต้องสูงกว่า L2 และ L2 ต้องสูงกว่า L1
   ดังรูปด้านล่างครับ เป็นตัวอย่าง UpTrend
   

   จุด สูงสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดสูงสุดเก่า และจุดต่ำสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า นี่คือ คำนิยามของแนวโน้มขาขึ้น(Uptrend) จำแค่นี้ก็พอครับ

   

    

    

   2.แนวโน้มขาลง (Down Trend)

   แนวโน้มขาลง (DownTrend)คือ จุดต่ำสุดของราคาจะต่ำลงเรื่อยๆ และ จุดสูงสุดของราคาก็ลดต่ำลงเช่นกัน
   นิยามของแนวโน้มขาลงคือ Ln<... L3
   และ Hn <... H3

   ดังรูปตัวอย่าง Down Trend ด้านล่างครับ
    
   
    

   จุดต่ำสุดใหม่ต้องต่ำกว่าจุดต่ำสุดเก่า และจุดสูงสุดใหม่ต้องอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่า นี่คือนิยามของคำว่า แนวโน้มขาลง (DownTrend)

   
    

   3. ไม่มีทิศทางที่แน่นอน (SideWay)

   SideWay คือ ราคาเคลื่อนที่ขึ้นลงในกรอบแคบๆ เคลื่อนตัวไปด้านข้างและมีทิศทางที่ไม่แน่นอน แนวโน้มจะเป็นลักษณะแบนราบ (Flat)
   ดูรูปประกอบเลยครับ  SideWay
   
   Side  Way เป็นแนวโน้มที่เล่นยากที่สุด เพราะเราไม่สามารถรู้ทิศทางที่แน่นอนได้ ถ้าหลักเลี่ยงได้ ก็ไม่ควรเล่นช่วงนี้ วิธีการสังเกตการเคลื่อนตัวแบบ Sideway คือ เมื่อกราฟได้เคลื่อนตัวโดยมีแนวโน้มที่ชัดเจนมาช่วงหนึ่งแล้ว กราฟจะเกิดการพักตัวช่วงหนึ่ง การพักตัวของกราฟ อาจจะหมายความว่า มันกำลังเตรียมตัวไปต่อในทิศทางเดิม หรือกำลังจะกลับตัวนั่้นเอง
    
   
    
   การ ดูแนวโน้มเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน เพราะสิ่งนี้เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ ชั้นสูง เช่น การนับคลื่น Elliott wave , ทฤษฎีดาว เป็นต้น ถ้าเรามีพื้นฐานเหล่านี้ การศึกษาในขั้นสูงก็เป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับเรา