The Quotes are powered by Investing.com

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ทองคำโลกฟื้นช่วงสั้นระยะยาวผันผวนหนัก

ทองคำโลกฟื้นช่วงสั้นระยะยาวผันผวนหนัก
โดย...พันธสิทธิ เจริญพาณิชย์พันธ์
ตลาดทองคำโลกถึงกับสั่นสะท้าน เมื่อกลุ่มนักลงทุนในทองคำรายใหญ่ต่างพากันเทขายออกมาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น พอลสัน แอนด์ โค ของจอห์น พอลสัน ที่ลดพอร์ตการลงทุนในกองทุนทองคำเอสพีดีอาร์ โกลด์ ทรัสต์ ลงไปมากถึง 53% ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยลดการถือครองในกองทุนทองคำจาก 21.8 ล้านสัญญา ในช่วงไตรมาสแรก ลงมาเหลืออยู่ที่ 10.2 ล้านสัญญา ขณะที่ จอร์จ โซรอส และเจ.พี.มอร์แกน เชส ก็หันมาลดการลงทุนในทองคำลงเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ สภาทองคำโลก (ดับเบิลยูจีซี) ก็ออกรายงานมาว่า ปริมาณความต้องการทองคำในตลาดโลก ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี โดยลดลงถึง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หรือลดลงจาก 974.3 ตัน มาอยู่ที่ 856.3 ตัน ส่วนธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาลดการสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศลงเช่นกัน โดยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว ลดลงมากถึง 57% มาอยู่ที่ 71.1 ตัน
ส่วนในปีนี้ ราคาทองคำโลกได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่า 1 ใน 5 แล้ว โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ลงไปแตะที่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1,180.71 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านักลงทุนและเหล่าบรรดาแบงก์ชาติทั่วโลกต่างมองว่ามูลค่าและราคาในทองคำจะลดต่ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลว่าการใช้นโยบายอัดฉีดผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ (คิวอี) เดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะมีการลดปริมาณลงเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจแดนมะกันเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานที่ดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ทิศทางดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งบอกว่าทิศทางทองคำโลกจะเข้าสู่ขาลงอย่างหนัก ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งนั้นนักวิเคราะห์อีกเป็นจำนวนมากกลับมองว่าราคาทองคำในอนาคตน่าจะกลับมาสู่ช่วงฟื้นตัวขึ้นมากกว่าที่จะลดลง
เนื่องจากปัจจัยจากราคาทองได้เลยจุดที่ต่ำที่สุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเริ่มฟื้นขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ความต้องการซื้อทองเพื่อนำไปเป็นเครื่องประดับทั่วโลก โดยเฉพาะจากอินเดียและจีนนั้นยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แถมยังคาดว่าจะช่วยดันให้ราคาทองพุ่งขึ้นอีกใน 12 เดือนข้างหน้านี้อีกด้วย
ยืนยันได้จากรายงานของดับเบิลยูจีซี ฉบับล่าสุดที่เผยว่า ทั้งๆ ที่ความต้องการทองคำทั่วโลกลดลง แต่ในแง่ของความต้องการซื้อเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องประดับ อัญมณี และเหรียญทองคำ ทั่วโลกกลับเพิ่มขึ้นมากสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยเพิ่มสูงขึ้นถึง 53% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว หรือที่ 1,083 ตัน ทั้งนี้ ความต้องการซื้อทองดังกล่าวมาจากอินเดียและจีน
ริก สปูนเนอร์ นักวิเคราะห์ด้านการตลาดของซีเอ็มซี มาร์เก็ต เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ถึงแม้พอลสัน แอนด์ โค จะลดการถือครองในกองทุนทองคำมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่นั่นถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าช่วงขาลงของราคาทองคำโลกมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และราคาจะเริ่มปรับตัวขึ้น โดยเห็นได้จากราคาทองคำเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากสุดในรอบ 2 เดือนที่ 1,372 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และคาดว่าอีกไม่กี่สัปดาห์จะขึ้นไปอยู่ที่ 1,4201,490 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ความเห็นของนักวิเคราะห์ดังกล่าวสอดรับกับผลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่เผยว่า นักวิเคราะห์ด้านทองคำถึง 13 จากทั้งหมดที่ไปสำรวจ 22 คน ระบุว่าทองคำในสัปดาห์นี้จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากความต้องการซื้อทองคำเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องประดับยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ราคาทองในขณะนี้ถือว่าถูกอยู่
“ผู้คนซื้อทองคำรูปพรรณเก็บไว้เพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะกลางและระยะยาว ตรงกันข้ามกับกองทุนที่ลงทุนในทองคำที่มีจุดประสงค์เพื่อต้องการเข้ามาเก็งกำไรมากกว่า” มาร์ค โอไบรเน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของโกลคอร์และโบรกเกอร์ขายทองคำแท่งและเหรียญทองคำ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก พร้อมเสริมว่า ความต้องการทองคำแท่งยังคงสูงอยู่ เพราะราคาทองในขณะนี้ถือว่าน่าลงทุนมาก
ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา แต่ความเห็นทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังไม่อาจเชื่อถือและนำมาคาดการณ์ทิศทางราคาในตลาดทองคำโลกได้เสียทั้งหมด เพราะจากปัจจัยทั้งของฝ่ายที่เห็นว่าราคาทองจะลดลงกับฝ่ายที่คิดว่าจะเพิ่มขึ้นนั้น ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำโลกมีความซับซ้อนและหลากหลายมากในปัจจุบัน ดังนั้น การมองทิศทางการลงทุนทองในระยะกลางถึงยาวจึงยังไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแน่ชัดว่าจะออกมาในทิศทางใดกันแน่
ขณะเดียวกัน ปัจจัยความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ในช่วงครึ่งๆ กลางๆอยู่ อาจทำให้ราคาทองคำโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องจับตาในช่วงกลางเดือน ก.ย.นี้ ที่เฟดจะมีการประชุมว่า สุดท้ายแล้ว เฟดจะลดการใช้นโยบายคิวอีเดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามที่ถูกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในเดือน ก.ย.นี้ เฟดจะลดคิวอีลงจริง แต่ในแง่ของความเป็นจริงแล้ว ความเสี่ยงในด้านเงินเฟ้อโลกก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ธนาคารกลางของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างยูโรโซน อังกฤษ ญี่ปุ่น ยังคงมีแนวโน้มว่าจะยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ จึงทำให้ความต้องการลงทุนในทองคำเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันจากภาวะเงินเฟ้อก็ยังมีอยู่
ดังนั้น การลงทุนทองคำในระยะนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาพร้อมกับวิเคราะห์ข้อมูลแบบชอร์ตต่อชอร์ตกันเลยทีเดียว

การเงินสุดโต่งหลังทุกประเทศQE

การเงินสุดโต่งหลังทุกประเทศQE
โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
ย้อนกลับไปปี 2008 หลายๆ คนคงจำวิกฤต Sub-Prime ที่เริ่มจากการล้มลงของ Lehman Brother ครั้งนั้น เกิดภาวะสภาพคล่องตึงตัวสุดขีด เรียกได้ว่า เงินที่เคยหมุนเวียนในโลกเกิดภาวะชะงัก ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Wall-Street 2 หรือแนวบู๊ล้างผลาญแบบ Margin-call ในโลกการเงิน (การบู๊ล้างผลาญในโลกการเงิน กับบู๊แบบ Hollywood จะต่างกันตรงที่ Wall-Street จะเป็นการบู๊แบบใช้สมอง คือ คมตัดคม ชนะกันที่ความคิดและมุมมอง แต่ผู้แพ้มักจบด้วยเลือด คือ ถ้าเป็นหนัง Hollywood ผู้แพ้จะอาบเลือดตายด้วยลูกกระสุนปืน แต่ใน Wall-Street ผู้แพ้จะขึ้นไปยืนบนตึกสูง เพื่อโดดตึกตายนั่นเอง... นั่นแหละโหดแบบนิ่มๆ)
ในเวลานั้นปี 2008 หากใครทำธุรกิจจะทราบเลยว่า Order สินค้าต่างๆ หยุดสั่ง แทบไม่มีการซื้อขายสินค้า ทุกคนตะลึง ...วันนั้นรัฐบาลอเมริกาตัดสินใจอย่างด่วนในการทำ QE (Quantitative Easing : ในความเข้าใจง่ายๆ ของ QE ก็คือ การพิมพ์เงินออกใช้นั่นเอง) หลายคนอาจจะมองว่าดี พอเงินฝืด รัฐบาลก็แค่พิมพ์เงินเพิ่มก็หายฝืด คิดดีๆ นะ มันง่ายแค่นั้นจริงๆ หรือเปล่า แน่นอนไม่ใช่!! ถ้าใครเคยอ่านประวัติศาสตร์ของรัฐบาลที่พิมพ์เงินจนเกิด Hyper-inflation คือ พิมพ์เงินจนเงินตัวเองไร้ค่า มันเคยเกิดตั้งแต่เยอรมนี มาจนถึงล่าสุดไม่นานมานี้ก็ ซิมบับเว ...ลองนึกภาพเยอรมนี ใครจะเคยคิดว่า ครั้งหนึ่งประเทศเยอรมนีเคยพิมพ์เงินจนเงินไร้ค่าเป็นแค่กระดาษ
มาคุยในเรื่อง Hyper-inflation กันก่อนว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง? สาเหตุหลักๆ ของเงินเฟ้อสุดโต่งเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีเงินมากเกินไป (รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาเยอะ-การเพิ่ม Supply ของเงินจะทำให้เงินที่มีอยู่ในระบบลดมูลค่า เมื่อเงินลดมูลค่า สิ่งที่อยู่ตรงข้ามเงิน เช่น Asset ข้าวของ อาหาร ย่อมราคาสูงขึ้นสวนทาง) ความยากในฐานะของรัฐบาลในการควบคุมและกำหนด Supply ของเงิน ก็คือ เวลาเงินเฟ้อมันเกิดมันจะเฟ้อแบบช้า แต่พอมันถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดการระเบิดของเงินเฟ้อ ถ้าเทียบเป็นกราฟของเงินเฟ้อ มันจะมีการขึ้นลงเป็นแบบ Exponential-ค่อยๆ เกิดขึ้นช้า แล้วระเบิดขึ้น ทำให้การควบคุมของเงินเฟ้อทำได้ยากมากๆ เพราะในช่วงต้นๆ ของการพิมพ์เงิน มันจะเหมือนว่ารัฐบาลสามารถพิมพ์เงินแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในระยะสั้น เพราะมีเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น แต่พอรัฐบาลทำไปสักพักมันจะเริ่มเกิดการระเบิดแบบขึ้นเร็วสุดๆ ของเงินเฟ้อจนไม่สามารถควบคุมได้ นั่นแหละปัญหา เพราะราคาค่าครองชีพและสินค้าจะแพงแบบบ้าเลือดในระยะเวลาอันสั้น ...พังทั้งประเทศ!!
“คำถาม คือ วันนี้ที่อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างลุกขึ้นมาทำ QE พร้อมๆ กัน ในปี 2013 มันจะกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก?” ...ตอบง่ายๆ เลยว่า ทุกรัฐบาลใหญ่ๆ ของโลกพิมพ์เงิน ก็ย่อมต้องกระทบต่อราคา Asset ในระยะยาวแน่นอน ถ้าให้หลับตาพร้อมกันแล้วนึกภาพดูว่า สิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกกำลังทำ คือ การเพิ่ม Supply เงิน ซึ่งเป็น Base Money ถ้าผมสมมติว่า ปี 2008 ที่เราเกิดวิกฤต มันเริ่มจากการปั่นเงินของระบบธนาคารและธนาคารเงา (Shadow Banking) ที่ปั่นเงินในรอบนั้นขึ้นมาทำให้สภาพคล่องในโลกล้นหลามก่อนปี 2008 ในช่วงเวลานั้นการกู้ยืมเงินทั่วโลกทำได้ง่ายมาก เพราะทุกธนาคารพยายามปล่อยกู้เกินตัวสุดๆ เวลานั้นขนาดตลาดซื้อขายบ้าน เขายังปล่อยกู้กับคนตกงานด้วยซ้ำ เพราะทุกอย่างที่เสี่ยงเขาก็เอามาขมวดเป็น Sub-Prime แล้วเอาไปให้บริษัทประกัน อย่าง AIG ไปลงทุนในสิ่งเสี่ยงเหล่านี้ ...บทสรุปของความไม่สมเหตุสมผลของเศรษฐกิจในปี 2008 ทำให้เกิดวิกฤต Sub-Prime อยากเล่าให้ฟังนิดหนึ่งว่า จาก Base Money หรือเงินเริ่มต้นที่รัฐบาลพิมพ์ออกมา มันสามารถปั่นให้เกิดสภาพคล่องเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 9 เท่า ซึ่งเท่ากับว่า หากเงินที่รัฐบาลพิมพ์เพิ่ม 1 ดอลลาร์ หากหมุนเงินแบบเต็มๆ โดยธนาคารและระบบการเงิน จะทำให้ 1 ดอลลาร์นั้นเพิ่มขึ้นมาเป็น 9 ดอลลาร์ ...เอาล่ะเล่ามาถึงตรงนี้ คุณเห็นปัญหาเหมือนที่ผมเห็นไหม?
ปัญหาที่กำลังก่อตัว คือ “การเพิ่ม Supply ของเงิน จากอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น” จะส่งผลให้ Base Money หรือเงินเริ่มต้นของทั้งโลกมันเพิ่มขึ้น นั่นเท่ากับว่า เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจเริ่มดี เงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นแบบบ้าคลั่ง และแทบจะไม่มีทางเลยที่รัฐบาลประเทศต่างๆ จะสามารถดึงเงินออกมาได้ทัน ดังนั้น เงินเฟ้อที่บ้าคลั่งกว่าปี 2008 จะเกิดขึ้นอีกครั้ง และนั่นเท่ากับว่ามูลค่าของ Asset จะขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าว ...ที่เล่ามาผมไม่ได้อยากให้เรากลัวการเงิน แต่อยากจะอธิบายให้เราเข้าใจ แล้วหาวิธีป้องกันตัวเราเอง
ใช่!! จะหวังให้รัฐบาลป้องกันความเสี่ยงของระบบการเงินคงเป็นไปไม่ได้ เพราะที่เห็นๆ วันนี้ขนาดรัฐบาลอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย ดังนั้น เราต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรอรับความผันผวนและความเสี่ยงที่กำลังจะเกิดขึ้น ...ซึ่งการตั้งรับความเสี่ยง ก็คือ การเข้าใจจังหวะและโอกาส ให้รู้ว่าวิกฤตจะมาถี่ขึ้น ความผันผวนจะมากขึ้น แต่ให้จำเสมอว่า ทุกครั้งที่โอกาสเกิด ราคา Asset ผันผวนและร่วงรุนแรง ก็เป็นจังหวะที่เราควรจะเก็บสะสม Asset ให้ได้มากที่สุด --- เอาไว้คราวหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังว่า เราจะรับมือต่อภาวะผันผวนและรวยขึ้นจากราคา Asset ร่วง และหุ้นตกแรงๆ ได้อย่างไร!!

เซียนชี้ทองดิ่งยาวถึงปีหน้า

เซียนชี้ทองดิ่งยาวถึงปีหน้า
สองสถาบันการเงินรายใหญ่ของโลกเตือนราคาทองคำดิ่งเหวระยะยาว
ธนาคารซิตี้ กรุ๊ป และมอร์แกน สแตนเลย์ สองสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะดิ่งลงแรงในปีนี้จนถึงปีหน้า นอกจากนี้ธนาคาร โซซิเอเต เจเนราล ของฝรั่งเศสยังได้ออกคำแนะนำให้นักลงทุนเทขายทองคำออกไปด้วย
เอ็ด มอร์ส และฮีธ แจนเซ็น สองนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า ราคาทองคำอาจจะดิ่งลงต่ำกว่า 1,250 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ก่อนจะสิ้นสุดปีนี้ โดยมีปัจจัยหลักๆ มาจากเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้น และเฟดจะลดขนาดของคิวอีลง
เมื่อเวลา 20.45 น.ของวันที่ 23 ก.ย.ตามเวลาของประเทศไทย ราคาทองในตลาดสหรัฐ ยังคงอ่อนตัวลงต่ออีก 13 เหรียญสหรัฐ ซื้อขายที่ 1,319 เหรียญสหรัฐ
ด้าน นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.ได้ติดตามตลาดการซื้อขายทองคำอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่มีการชำระราคาทันที (สปอต) ที่ยังไม่มีกฎหมายดูแลโดยตรง
สำหรับตลาดที่มี พ.ร.บ.ล่วงหน้าดูแลอยู่แล้วไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนกลุ่มที่อยู่นอก พ.ร.บ.จะทำอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ธปท.ยังดูอยู่ แต่เป็นการดูในลักษณะระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นปัญหามากกว่านี้ และส่วนหนึ่งต้องการทำหน้าที่ดูแลผู้บริโภคด้วย
“ที่ผ่านมาเงินเหรียญสหรัฐและสกุลเงินสำคัญเปลี่ยนเร็ว ตลาดการเงินโลกก็ปั่นป่วนไม่น้อย ซึ่งไปสัมพันธ์กับทองคำ ทำให้ผันผวนพอประมาณ แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ธปท.ต้องทำหน้าที่ และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากการติดตามดูมีการซื้อขายเงินเหรียญสหรัฐมากกว่าทองคำที่นำเข้าส่งออกบ้าง”นายประสาร กล่าว
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อประสานงานจาก ธปท.ในเรื่องดังกล่าว
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สมาคมได้เสนอให้ออกกฎหมายมาดูแลการซื้อขายสัญญาซื้อขายทองคำในตลาดสปอต เพราะพบว่ามีการจัดตั้งโบรกเกอร์ซื้อขายทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก โบรกเกอร์บางรายไม่มีที่มาที่ไป ซึ่งอาจสร้างความเสียหายกับลูกค้าได้หากปิดสำนักงานหนี จึงเห็นด้วยหากจะออกมาคุมเข้มการซื้อขายออนไลน์ในตลาดสปอต
อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.จะออกกติกาใดมา ขอให้เชิญสมาคมเข้าร่วมหารือด้วย เพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด หากควบคุมธุรกิจค้าทองทั้งหมด อาจจะเป็นปัญหาต่อภาพรวมตลาดทองคำได้

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีการซื้อ - ขายหุ้น forex การใช้งานMT4เบื้องต้น

การใช้โปรแกรม MT4 เมนูที่จำเป็นต่อการเทรด

จะขออธิบายเฉพาะเมนูสำคัญ ๆแบบคร่าว ๆ นะครับที่เหลือศึกษาเอาเองนะ.....

นี่คือวิดีโอตัวอย่างสำหรับการใช้เครื่องมือต่างๆในโปรแกรมและซื้อขาย forex 

VDO ตอนที่ 1


VDO ตอนที่ 2

VDO ตอนที่ 3


ขั้นตอนการฝาก-ถอน exness




                                     เรามาดูขั้นตอนการยืนยันตัวตนกันก่อนนะครับ

การยืนยันเอกสารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเปิดบัญชี Forex เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม การถอนเงิน ก่อนทำการยืนยันเอกสารให้เตรียมเอกสารสำหรับยืนยันตนดังนี้ - Passport หรือบัตรประจำตัวประชาชน (ถ้ามีภาษาอังกฤษด้วยจะผ่านง่าย หรือถ้าไม่มีควรแปลให้เป็นภาษาอังกฤษ) อย่างใด อย่างหนึ่ง ควรแสกนเป็นภาพสี และแสกนให้ชัด และลดขนาดไฟล์ แล้วเก็บลงในเครื่องคอมให้เรียบร้อย- บิลเอกสาร ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าบัตรเครดิต หรือบิลโลตัส บิลแม็คโคร หรือบิลอื่น ๆ ที่มีที่อยู่ตรงกับใบสมัคร สแกนเก็บไว้ในเครื่องและใช้บิลที่มีอายุไม่เกิน 3 เดือน


เริ่มทำการ Verify โดยการเข้าระบบบัญชีก่อน

หลังจากนั้นเลือก Verify เพื่อทำการยืนยัน
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
หลังจากนั้น รอ 24 ชม. เอกสารจะได้รับการอนุมัติ ถ้าเอกสารนั้น ไม่ผิดเงื่อนไขข้อกำหนดของโบรก
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
**หมายเหตุ** บิล นั้นให้เราซื้อของอะไรก็ได้ครับซัก 20 -50 บาท ใน เซเว่น หรือ tesco lotus ก็ได้ครับแล้วบอกพนักงานว่าขอใบกำกับภาษีหน่อย(ถ้าเขาถามว่าเอาไปทำอะไร บอกเขาว่าเอาไปเบิกจ่ายแค่นั้นครับ ขืนบอกว่าเอาไปยื่นเอกสารของโบรกเกอร์ forex มีหวังได้คุยยาวแน่ๆเลย 55+ เพราะว่าเขาไม่รู้จัก forex ไงล่ะครับ เดี๋ยวจะโดนถามว่า มันคือ อะไร เป็นอย่างไร แล้ว ทำแบบไหน?) ส่วนตัวผมไม่เคยโดนสอบถามครับ เพราะทำตัวแบบเนียนๆ เฉยๆเอื่อยๆ ขอบิลได้แล้ว ก็ไปร้านถ่ายเอกสารหรือ ร้านที่เขารับสแกนเอกสารครับ ให้สแกนบิลไปไฟลื jpeg หน่อย จากนั้นก็เสร็จแล้ว รอ อัปไฟล์ขึ้น exness เลยครับ ***

ใครที่ยังไม่พร้อมเรื่องของเอกสาร ก็ยังไม่ต้องยืนยันตัว เปิดบัญชีทิ้งไว้เฉยๆก็ได้ครับ แต่เขาจะจำกัดวงเงินการถอนที่ 15,000 บาท ประมาณ 500 ดอลถ้าเี่ราทำกำไรได้ แต่ถ้ายืนยันแล้วก็จะถอนได้ไม่จำกัดครับ 


  ข้อตกลงและเงื่อนไขทั่วไปสำหรับการฝากและการถอนเงิน

ฝากเงิน,ถอนเงิน, exness, forex,

โดยส่วนใหญ่แล้ว คนไทยชอบฝากเงินผ่านทาง
การชำระเงินผ่านทางธนาคารออนไลน์ในประเทศไทย วิธีนี้ก็คือ ผ่านทาง ibangking ของแต่ล่ะธนาคารที่เราใช้ ปัจจุบันที่มีการดิวของ exness และ ธนาคารไทยในประเทศไทย ก็มี ธนาคารกรุงเทพ,ธนาคารกรุงศรี,ธนาคารกรุงไทย,และธนาคารไทยพาณิชย์ ใครที่มี ibangking ดังกล่าวก็สามารถทำการฝากเงินได้เลยนะครับ

ฝากเงิน,ถอนเงิน, exness, forex, ถ้าฝากเงินผ่าน Ibanking นี้ปัจจุบันมันจะได้ 5 ธนาคาร ก็จะมี ธนาคารกรุงเทพ,ธนาคารกรุงศรี,ธนาคารกรุงไทย,ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกร


แต่อนาคตนี้ไม่แน่อาจมีเพิ่ม แต่ถ้าถอนเงินนี่ ได้เกือบทุกธนาคารคัฟ(มีภาพตัวอย่างการถอน เข้าธนาคารคัฟ ตรงหัวข้อการถอนเงินด้านล่าง)



- อีกวิธีที่สะดวก สำหรับคนไม่มี I-banking ก็ ฝากเงินผ่าน 7-11 ได้คัฟ

- ส่วนใครที่มีบัญชีธนาคารออนไลน์ Ecurrency ต่างๆอยู่แล้ว ก็ฝากเงินได้เลยนะครับ เช่น
  • Skrill (Moneybookers)
  • Webmoney
  • Ukash
  • Payweb
  • Neteller
  • Filspay
  • CashU
  • Perfect Money
  • C-Gold
ก็ทำการฝากได้เลยนะครับ 

ผมมีวิดีโอตัวอย่างมาให้ชมกันนะครับคนที่ใช้ ibangking 

             วีดีโอสอนการฝากเงินเข้า EXNESS ผ่านธนาคารประเทศไทย I-banking กรุงศรีอยุธยา



                                       วีดีโอสอนการฝากเงินเข้า EXNESS ผ่าน 7 - 11 




การถอนเงิน
หากเราเทรด forex แล้วได้กำไรแล้วก็สามารถถอนเงินออกจากโบรกเกอร์ได้  การถอนเงิน ก็ทำลักษณะเหมือนการฝากเงินเลยนะครับ ไม่ยุ่งยาก

ผมมีวิธีโอตัวอย่างการถอนเงิน จาก Exness มายังบัญชีธนาคารไทยของเรา นี่คือตัวอย่างนะครับ ถอนมายังแบงค์ในไทยได้ทุกแบงค์เลยนะครับ(ไม่แน่ใจว่าทุกแบงค์มั้ย?)ต้องลองไปดูที่เมนูอีกทีว่ามีกี่แบงค์



ภาพตัวอย่าง   การถอนเงินเข้าธนาคารที่เดียวกับ Exness นะครับ
สามารถถอนเข้าธนาคารได้ดังกล่าวตามรูปภาพนี้ครับ

ต่อมาเรามาดูวิธีการติดตั้งโปรเเกรม MT4 กันครับ

วิธีการติดตั้งโปรแกรมเทรด MT4 MetaTrader - EXNESS


คลิ๊กดาวโหลด MetaTrader 4 ตามรูป

mt4,โปรแกรมเทรด,exness,forex,ดาวน์โหลด,เล่นหุ้น,เทรด


คลิ๊กที่โปรแกรมที่เราดาวโหลดมา แล้วคลิ๊ก Run

mt4,โปรแกรมเทรด,exness,forex,ดาวน์โหลด,เล่นหุ้น,เทรด

จากนั้นคลิ๊ก Next..


แล้วคลิ๊กเครื่องหมายถูกในช่องสี่เหลี่ยม แล้ว คลิ๊ก Next..


แล้วก็คลิ๊ก Next >>


รอการดาวโหลด สักครู่


คลิ๊ก Finish >> 


แล้วจะขึ้นหน้าต่าง โปรแกรมMT4 มาใหม่ 

mt4,โปรแกรมเทรด,exness,forex,ดาวน์โหลด,เล่นหุ้น,เทรด

ให้ทำการนำหมายเลขบัญชีที่เราสมัครไว้มา Login และ Password  เลือก Sever สำหรับใครที่เปิดบัญชี แบบ Mini Server จะเป็น Exness-Real2  ถ้าเลือกผิดก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อทำการ login เข้าสู่โปรแกรม MT4 ครั้งแรก จะมีคูเงิน อยู่หน้าแรกประมาณ 4 คู่ 


และบางทีก็โชว์หน้าจอ กราฟ ขึ้นมาเลย แต่บางที่อาจจะโชว์คำว่า waiting for update ดังรูป

ให้ทำการคลิ๊กตรงเครื่องหมาย x สีแดง มุมขวามือของแต่ละ chart คู่เงินออกไปทั้งหมดเลย


แล้วทำการเปิด Chart คู่เงินใหม่ขึ้น มีให้เลือกมากมาย ตามความถนัดของเรา

โดยส่วนใหญ่ นิยม เล่นคู่เงิน EUR/USD ค่ะ

ตาม ตย. จะทำการเปิดกราฟใหม่ 
โดยไปที่ File >> New chart >> EUR/USD


ก็จะได้กรา EUR/USD หน้าตา ดังรูปข้างล่างนี้


**หมายเหตุ** ใครที่ติดตั้งโปรแกรมและ login ภายในวันเสาร์ - อาทิตย์ กราฟจะไม่เคลื่อนไหวนะครับเพราะตลาดปิด ได้แต่ดูกราฟเฉยๆนะครับเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะดูแนวโน้มราคาในวันเสาร์ - อาทิตย์ เพราะราคาไม่ขยับมันเลยดูได้ง่าย พอเข้าใจนะครับ ***

พอติดตั้งโปรแกรมซื้อ - ขาย แล้ว เรามาดูวิธีการใช้งานMT4เบื้องต้นกันเลยนะครับ >> คลิ๊กที่นี่

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

อธิบายการใช้ indicator Stochastic

STOCHASTICS


   STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคาหุ้นนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของหุ้นมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน

   ถ้าราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ขึ้น” เป็น “ลง” เรามักจะพบว่าราคาในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายอาจจะสูงขึ้น แต่ราคาปิดจะอยู่ใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของวัน แต่หากราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ลง” เป็น “ขึ้น” ราคาปิดจะมีราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของวัน แม้ว่าในระหว่างชั่วโมงซื้อขายราคาอาจจะลดต่ำลง

   ความสัมพันธ์ระหว่างราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

   หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

   เครื่องมือ  STOCHASTICS  ประกอบด้วย

       เส้น %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
            เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =         ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง วัน)          
                             ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า  %K

   หลักการอ่าน  STOCHASTICS

   สัญญาณเตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

   สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย”จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง

   

   รูปแบบของการตัดขึ้นตัดลง


   สัญญาณซื้อหรือขายจากการตัดขึ้นหรือลงในทางปฏิบัติ มักจะมีบางกรณีเกิดเป็นสัญญาณหลอกขึ้นซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนเสียหาย จึงมีกฎเกณฑ์เพิ่มเติมในการอ่านรูปแบบของการตัดขึ้นหรือลง โดยจะดูว่ารูปแบบในลักษณะใดที่จะผลักดันให้ราคาหุ้นขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว

   การตัดค่อนไปทางขวามือ  (RIGHT-HAND CROSS-OVER)

   เนื่องจากเส้น %K เปลี่ยนทิศทางเร็วกว่าเส้น %D โดยจะวิ่งขึ้นหรือลงก่อน และอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก ดังนั้นสัญญาณที่ดีกว่าคือ การให้ทั้ง 2เส้นเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ในกรณีเช่นนี้ รูปแบบจะออกมาในลักษณะที่เส้น %K ตัดเส้น %D ค่อนไปทางขวามือ (RIGHT-HAND CROSS-OVER) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนกว่า

   

   รูปแบบ  HINGE

   เป็นรูปแบบการชะลอการขึ้นหรือลงในลักษณะอ่อนตัวลง เป็นเครื่องชี้ว่าราคาหุ้นอาจจะมีการเปลี่ยนทิศทางในเร็ว ๆ นี้

   

   การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS
   (DIVERGENCE)  แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

     BEARISH DIVERGENCE  คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่เป็นสัญญาณขาย

   

     BULLISH DIVERGENCE  คือการที่ราคาหุ้นสร้างจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำเก่า แต่ STOCHASTICS มีจุดต่ำใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำกว่า เป็นสัญญาณซื้อ

   

   รูปแบบ    SET-UP

   จุดยอดใหม่ของ   STOCHASTICS  สูงกว่าจุดยอดเก่า ในขณะที่ราคาหุ้นไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่และกลับลดต่ำกว่าจุดสูงเก่าเป็นสัญญาณเตือนว่า การลดต่ำลงของราคาหุ้นไม่น่าจะรุนแรงมากกว่านี้เรียกว่า  BULL SET-UP  และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะดีดตัวกลับสูงขึ้น

   

   BEAR  SET-UP จุดต่ำใหม่ของ  STOCHASTICS  ต่ำกว่าจุดต่ำกว่าในขณะที่ราคาหุ้นมีจุดต่ำใหม่สูงกว่าจุดต่ำเก่า  เป็นสัญญาณเตือนว่า การขึ้นของราคาหุ้นครั้งนี้จะเป็นการขึ้นก่อนที่ราคาจะต่ำลง

   

   รูปแบบ  FAILURE แบ่งเป็น  2 ลักษณะคือ

   รูปแบบ  KNEE  เส้น %K ตัดเส้น%D ขึ้นและถอยกลับแต่ไม่ทะลุผ่านเป็นสัญญาณเตือนว่า  ราคาหุ้นยังสามารถที่จะเคลื่อนตัวสูงขึ้นต่อไปได้

   

   รูปแบบ  SHOULDER  เส้น %K ตัดเส้น %D  และดีดตัวสะท้อนกลับแต่ไม่สามารถตัดผ่านไปได้เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาหุ้นใกล้จะอ่อนตัวลง

   

   รูปแบบ  GARBAGE แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

   GARBAGE TOP  เป็นรูปแบบทีเส้น  %K ตัดเส้น %D ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่บริเวณเขตภาวะซื้อมากไป รูปแบบนี้จะเกิดขึ้นกับสภาพตลาดที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ซึ่งจะใช้ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีการปรับตัวลง ลักษณะการปรับตัวลงของ STOCHASTIC จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว  และจะสามารถดีดตัวกลับสูงข้นได้ทันที โดยมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับตัว V จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า SPIKE BOTTOM

   

   GARBAGE BOTTOM เกิดขึ้นในสภาพตลาดขาลง และมีความหมายตรงกันข้ามกับ GARBAGE TOP โดยรูปแบบการปรับตัวสูงขึ้นของ STOCHASTIC จะเป็นไปในลักษณะ SPIKE TOP

   

   ความหมายของระดับ 0% และ 100%

   ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของหุ้นแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่แต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาหุ้นอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะของ  TECHNICAL REBOUND ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0% จึงอาจตีความได้ว่าราคาหุ้นได้ลดลงมาถึงระดับ  “WEAK”

   ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของหุ้น แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง (STRONG) จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้ STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง (TECHNICAL CORRECTION)   แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า

   

   สโตแคสติกส์แบบเร็ว FAST STOCHASTIC


   STOCHASTIC  แบบเร็วนี้ เป็นเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของระดับราคาในปัจจุบัน ภายในช่วงกว้างของระดับราคา ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งมีการแกว่งตัวที่รวดเร็วมาก จึงทำให้หลายฝ่ายไม่นิยมใช้ เนื่องจากมีการแกว่งตัวที่ผันผวนและไม่แน่นอน ดังนั้น SLOW STOCHASTIC จึงเป็นที่นิยมใช้มากกว่า STOCHASTIC นี้ประกอบด้วยค่าดัชนีสองค่าคือ %K และ %D โดยจะบอกถึงภาวะซื้อมากไป  (OVERBOUGHT) เมื่อ STOCHASTIC ตัดเส้น  80%  ขึ้นไป  คืออยู่ในช่วงระหว่างเส้น 80%  ถึง  100  % และจะบอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD)  เมื่อ  STOCHASTIC   เตือนชี้จะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 20% ลงมา  และสัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น  %Kตัดเส้น  %D ขึ้นไป   สำหรับสัญญาณเตือนขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 80% ขึ้นไป   และสัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %K ตัดเส้น  %D ลงมา

   FORMULA

   FAST %k  =  CURRENT CLOSE – LOWEST LOWn
                             HIGHEST HIGHn – LOWEST LOWn

   %D = 3 PERIOD MODIFIED MOVING AVERAGE OF FAST %k

   n =  NUMBER OF PERIODS

   

   สโตแคสติกส์แบบช้า SLOW STOCHASTIC


   SLOW STOCHASTIC  เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของราคา ที่ถูกทำให้ราบเรียบขึ้นจาก  FAST STOCHASTIC   ซึ่ง SLOW STOCHASTIC  ใช้  MODIFIED MOVING AVERAGE  ในการหาค่า  SLOW %K  เท่ากับ  3  PERIOD แต่ใน FAST STOCHASTIC ค่าของ  FAST %Kจะใช้MODIFIED MOVING AVERAGE เท่ากับ  1  PERIOD  หรือไม่มีการเฉลี่ยนั่นเอง

   FORMULA

   SLOW %K = 3 Period Modified Moving Average of FAST %K

   %D =  3 Period Modified Moving Average of  SLOW %K

   หลักการวิเคราะห์  SLOW STOCHASTIC  ใช้หลักเดียวกันกับ  FAST    STOCHASTIC

   

   สโตแคสติกส์แบบปรับปรุง MODIFIED STOCHASTIC


   MODIFIED  STOCHASTIC   เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องวัดการแกว่งตัวของราคา ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยสามารถทำให้ราบเรียบขึ้นจาก FAST STOCHASTIC หรือทำให้แกว่งตัวมากกว่า SLOW STOCHASTIC

   แต่เดิม  FAST  STOCHASTIC  ใช้   MODIFIED MOVING  AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาในการหาค่า  %D เท่ากับ  3 และ  SLOW STOCHASTIC   ใช้  MODIFIED MOVING AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาการหาค่า  %Kและ %D   เท่ากับ  3  แต่ใน  MODIFIE STOCHASTIC ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าของ MOVING AVERAGE เท่ากับช่วงเวลาใดๆก็ได้ และสามารถกำหนดรูปแบบของ  MOVING AVERAGE ได้ตามต้องการ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณหาค่า  %K
   และ %D

   หลักการวิเคราะห์ของ  MODIFIED STOCHASTIC  ใช้หลักเดียวกันกับ FAST และ   SLOW   STOCHASTIC

   

อธิบายการใช้ Trendline เพื่อทำกำไรจาก forex

 เส้นแนวโน้ม ( Trendline) เป็นเครืื่องมือที่ใช้ดูแนวโน้ม จุดกลับตัว และจุดเข้าจุดออก ในการเล่นฟอเร็กซ์ เทรนไลน์เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากสำหรับ Trader การใช้เทรนไลน์วัดแนวโน้ม สามารถลากได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ การลากแนวโน้มขาขึ้น และลากแนวโน้มขาลง 
แนวโน้มขาขึ้นคือการลากจากจุดต่ำสุดเก่ามาหาจุดต่ำสุดใหม่ โดยที่จุดต่ำสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า และแนวรับของแนวโน้มขาขึ้นเราจะเรียกว่า Support Trendline 
แนวโน้มขาลงคือ การลากจากจุดสูงสุดเก่ามาหาสุดสูงสุดใหม่ โดยที่จุดสูงสุดเก่าต้องต่ำกว่าจุดสูงใหม่ใหม่ และแนวต้านของแนวโน้มขาลงเราจะเรียกว่า Resistance Trendline 
การลากเทรนไลน์เพื่อหาแนวรับแนวต้าน เราสามารถลากได้ทุกช่วงเวลา ( Time Frame ) ลากที่ Time Frame เล็กๆ ตั้งแต่ 5 นาทีจนถึง 1 ชั่วโมง เราจะเรียกว่าแนวรับแนวต้านรอง  Minor Support Trendline &  Minor Resistance Trendline และแนวรับแนวต้านหลัก คือการลาก ตั้งแต่ช่วงเวลา 4 H ไปจนถึง Month เราจะเรียกว่า Major Support Trendline & Major Resistance Trendline
ผมจะยกตัวอย่างการลากเทรนไลน์ขาขึ้นนะครับ เป็นกราฟของ GBP/USD โดยการลากที่ 5 นาทีก่อนนะครับ 
GBP/USD 5 Min

จะเห็นว่าผมเริ่มลากเทรนไลน์ จาหมายเลข 1 โดยที่ลากผ่านหมายเลข 2 ขึ้นไป แล้วเราก็รอจนราคาลงมาทดสอบเส้นเทรนไลน์ของเราอีักครั้ง ถ้าราคาลงมาทดสอบแล้วไม่สามารถผ่านเส้้นเทรนไลน์ที่ลากไว้ได้ ก็ เราก็จะ Buy ขึ้นไป แต่ถ้าราคาสามารถทะลุผ่านเส้นเทรนไลน์ลงมาได้ เราก็รอดูสัญญาณการกลับไปทดสอบเส้นเทรนไลน์อีกครั้ง( Retest) ถ้าไม่สามารถเทสผ่านได้ เราก็เปิด order sell กันได้เลย
เมื่อเปิดออเดอร์ sell กันแล้ว หลังจากนั้นเราก็มาเปิดที่ ช่วงเวลา 15 นาที จากนั้นก็ทำการลากเทรนไลน์เหมือนเดิม เพื่อหาแนวรับ ( Minor Support Trendline ) ดูรูปประกอบกันเลยนะครับ
GBP/USD 15 Min

 
จากรูปด้านบน จะเห็นว่า เส้นสีแดงคือเส้นที่เราขีดไว้ตั้งแต่กราฟ 5 นาที แต่สีน้ำเงินเราได้ลากเทรนไลน์เพื่อหาแนวรับในกราฟ 15 นาที ซึี่งราคาได้ลงมาชนเส้นเทรนไลน์ แล้วเราก็ดูว่า ราคาจะสามารถทะลุผ่านเส้นเทรนไลน์ 15 นาทีของเราได้หรือไม่ ถ้าราคาสามารถผ่านได้เราก็ถือ Order sell ต่อ แต่ถ้าไม่สามารถผ่านได้ เราก็ปิดออเดอร์ Sell แล้วหาจังหวะเพื่อเปิดออเดอร์ Buyกันต่อไป จะเห็นว่าเมื่อราคาลงมาชนเส้นแนวมีการปรับตัวขึ้นไปทันที
 
การใช้เทรนไลน์เพื่อหาแนวต้าน ( Resistance Trendline) เมื่อราคาวิ่งลงมา แล้วมีการปรับตัวขึ้นไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า ราคาจะไปหยุดตรงไหน ราคาจะกลับตัวตรงไหน จุดไหนที่คิดว่ามันสามารถจะไปต่อ หรือว่าจะกลับตัว ซึ่งเทรนไลน์สามารถบอกจุดเหล่านี้ได้ การหาแนวต้านล่วงหน้า เราสามารถหาได้จากการลากจุดจุดสูงสุดเก่ามาหาจุดสูงสุดใหม่ ดังรูปด้านล่างเลยครับ


 
จากรูป Resistance Trendline สามารถเลื่อนไปตามราคาได้ แนวต้านจะอยู่ประมาณเส้นที่ผมได้ทำลูกศรไว้ มาดูรูปด้านล่างเลยครับ จะเห็นว่าราคาเมื่อขึ้นมาชน Resistance Trendline แล้ว มีการกลับตัวทันที ซึ่งจุดนี้จึงเป็นจุดบอกการกลับตัวของราคาได้ครับ เมื่อราคาไม่สามารถผ่านจุดนี้ หรือราคาของแท่งเทียนไม่สามารถปิดสงกว่าเส้นแนวโน้มเส้นนี้ เราก็หาจังหวะ Sell กันได้เลยครับ ถ้าราคาไม่ลงตามที่เราคาดการณ์ไว้ เราก็ Cut Loss เมื่อราคาทะลุเส้นนี้ขึ้นไป แต่ถ้าเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ก็ปล่อยราคาลงจนเราพอใจ หรือไม่ก็รอจนกว่าจะมีการดีดกลับอีกครั้ง เราจึงปิดออเดอร์ Sell ครับ