ตลาดทองคำโลกถึงกับสั่นสะท้าน เมื่อกลุ่มนักลงทุนในทองคำรายใหญ่ต่างพากันเทขายออกมาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น พอลสัน แอนด์ โค ของจอห์น พอลสัน ที่ลดพอร์ตการลงทุนในกองทุนทองคำเอสพีดีอาร์ โกลด์ ทรัสต์ ลงไปมากถึง 53% ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยลดการถือครองในกองทุนทองคำจาก 21.8 ล้านสัญญา ในช่วงไตรมาสแรก ลงมาเหลืออยู่ที่ 10.2 ล้านสัญญา ขณะที่ จอร์จ โซรอส และเจ.พี.มอร์แกน เชส ก็หันมาลดการลงทุนในทองคำลงเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ สภาทองคำโลก (ดับเบิลยูจีซี) ก็ออกรายงานมาว่า ปริมาณความต้องการทองคำในตลาดโลก ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี โดยลดลงถึง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หรือลดลงจาก 974.3 ตัน มาอยู่ที่ 856.3 ตัน ส่วนธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาลดการสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศลงเช่นกัน โดยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว ลดลงมากถึง 57% มาอยู่ที่ 71.1 ตัน
ส่วนในปีนี้ ราคาทองคำโลกได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่า 1 ใน 5 แล้ว โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ลงไปแตะที่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1,180.71 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านักลงทุนและเหล่าบรรดาแบงก์ชาติทั่วโลกต่างมองว่ามูลค่าและราคาในทองคำจะลดต่ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลว่าการใช้นโยบายอัดฉีดผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ (คิวอี) เดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะมีการลดปริมาณลงเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจแดนมะกันเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานที่ดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ทิศทางดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งบอกว่าทิศทางทองคำโลกจะเข้าสู่ขาลงอย่างหนัก ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งนั้นนักวิเคราะห์อีกเป็นจำนวนมากกลับมองว่าราคาทองคำในอนาคตน่าจะกลับมาสู่ช่วงฟื้นตัวขึ้นมากกว่าที่จะลดลง
เนื่องจากปัจจัยจากราคาทองได้เลยจุดที่ต่ำที่สุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเริ่มฟื้นขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ความต้องการซื้อทองเพื่อนำไปเป็นเครื่องประดับทั่วโลก โดยเฉพาะจากอินเดียและจีนนั้นยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แถมยังคาดว่าจะช่วยดันให้ราคาทองพุ่งขึ้นอีกใน 12 เดือนข้างหน้านี้อีกด้วย
ยืนยันได้จากรายงานของดับเบิลยูจีซี ฉบับล่าสุดที่เผยว่า ทั้งๆ ที่ความต้องการทองคำทั่วโลกลดลง แต่ในแง่ของความต้องการซื้อเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องประดับ อัญมณี และเหรียญทองคำ ทั่วโลกกลับเพิ่มขึ้นมากสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยเพิ่มสูงขึ้นถึง 53% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว หรือที่ 1,083 ตัน ทั้งนี้ ความต้องการซื้อทองดังกล่าวมาจากอินเดียและจีน
ริก สปูนเนอร์ นักวิเคราะห์ด้านการตลาดของซีเอ็มซี มาร์เก็ต เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ถึงแม้พอลสัน แอนด์ โค จะลดการถือครองในกองทุนทองคำมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่นั่นถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าช่วงขาลงของราคาทองคำโลกมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และราคาจะเริ่มปรับตัวขึ้น โดยเห็นได้จากราคาทองคำเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากสุดในรอบ 2 เดือนที่ 1,372 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และคาดว่าอีกไม่กี่สัปดาห์จะขึ้นไปอยู่ที่ 1,4201,490 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ความเห็นของนักวิเคราะห์ดังกล่าวสอดรับกับผลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่เผยว่า นักวิเคราะห์ด้านทองคำถึง 13 จากทั้งหมดที่ไปสำรวจ 22 คน ระบุว่าทองคำในสัปดาห์นี้จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากความต้องการซื้อทองคำเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องประดับยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ราคาทองในขณะนี้ถือว่าถูกอยู่
“ผู้คนซื้อทองคำรูปพรรณเก็บไว้เพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะกลางและระยะยาว ตรงกันข้ามกับกองทุนที่ลงทุนในทองคำที่มีจุดประสงค์เพื่อต้องการเข้ามาเก็งกำไรมากกว่า” มาร์ค โอไบรเน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของโกลคอร์และโบรกเกอร์ขายทองคำแท่งและเหรียญทองคำ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก พร้อมเสริมว่า ความต้องการทองคำแท่งยังคงสูงอยู่ เพราะราคาทองในขณะนี้ถือว่าน่าลงทุนมาก
ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา แต่ความเห็นทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังไม่อาจเชื่อถือและนำมาคาดการณ์ทิศทางราคาในตลาดทองคำโลกได้เสียทั้งหมด เพราะจากปัจจัยทั้งของฝ่ายที่เห็นว่าราคาทองจะลดลงกับฝ่ายที่คิดว่าจะเพิ่มขึ้นนั้น ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำโลกมีความซับซ้อนและหลากหลายมากในปัจจุบัน ดังนั้น การมองทิศทางการลงทุนทองในระยะกลางถึงยาวจึงยังไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแน่ชัดว่าจะออกมาในทิศทางใดกันแน่
ขณะเดียวกัน ปัจจัยความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ในช่วงครึ่งๆ กลางๆอยู่ อาจทำให้ราคาทองคำโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องจับตาในช่วงกลางเดือน ก.ย.นี้ ที่เฟดจะมีการประชุมว่า สุดท้ายแล้ว เฟดจะลดการใช้นโยบายคิวอีเดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามที่ถูกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในเดือน ก.ย.นี้ เฟดจะลดคิวอีลงจริง แต่ในแง่ของความเป็นจริงแล้ว ความเสี่ยงในด้านเงินเฟ้อโลกก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ธนาคารกลางของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างยูโรโซน อังกฤษ ญี่ปุ่น ยังคงมีแนวโน้มว่าจะยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ จึงทำให้ความต้องการลงทุนในทองคำเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันจากภาวะเงินเฟ้อก็ยังมีอยู่
ดังนั้น การลงทุนทองคำในระยะนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาพร้อมกับวิเคราะห์ข้อมูลแบบชอร์ตต่อชอร์ตกันเลยทีเดียว