The Quotes are powered by Investing.com

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

forex ไม่ง่ายอย่างที่คิด

" Forex " หรือที่ผมรู้จักก็คือ ตลาดค่าเงิน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ซึ่งแม้ในปัจจุบันก็ยังไม่หลุดพ้นลำดับความเป็น "เม่า" เกิดข้อสงสัยว่าทำไม เมื่อไหร่ และ นานแค่ไหน เป็นคำถามที่ผมได้พยายามค้นหาคำตอบเรื่อยมา สิ่งที่ผมจะบอกเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดจากทัศนคติของผม ซึ่งเกิดขึ้นเพียงเพราะตลาด forex Forex เป็นตลาดที่อ่อนไหวได้ง่าย ถูกควบคุมด้วยความโลภและความกลัวของฝูงชน เป็นเรื่องง่ายที่จะเห็นใครต่อใครเทรดได้เกิน 100 % ของทุน แต่ยากที่จะเห็นกว่าที่จะเห็นคนเหล่านั้นรักษาเงินที่เกิดจากการ over-trade ให้ได้สืบไป ทำให้พึงระลึกได้ว่าตลาดนี้ไม่ทำให้ใครรวยอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน ว่า 3 /100 จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จจากตลาดค่าเงินนี้ เข้าเรื่อง** ข้อที่ 1 ตลาดนี้เปลี่ยนแปลงอารมณ์อยู่เสมอ เพราะฉะนั้น หากคิดที่จะเป็น 3 % จะต้องหมั่นศึกษาอ่านข่าว และดูกราฟอยู่เสมอ ข้อที่ 2 อย่าเข้าออเดอร์บ่อยๆ เพราะยิ่งคุณเข้าออเดอร์บ่อยๆ โอกาสที่จะขาดทุนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้อที่ 3 เข้าสู่ตลาดในจุดที่ตัวเองรับความเสียงได้ สรุป คือ ต้องรอ จุดที่เรามั่นใจว่ากราฟจะมาถึง เช่น ในเทรนขาลง ให้รอกราฟขึ้นไปปรับฐาน เพราะไม่มีหุ้นตัวใดที่วิ่งโดยไม่หยุดพัก อย่ากลัวที่จะเข้าออเดอร์ไม่ทัน ข้อที่ 4 การทำ MM นั้นสำคัญมาก จงทำ MM ก่อนเทรดทุกครั้ง เทคนิดในการทำ MM ของผมคือ เทรด 0.1 % ของเงินที่มีทั้งหมด จงรู้ว่าตอนนี้คุณเทรดด้วยลอตเท่าไหร่ ขาดทุนได้กี่จุด และอย่าลืมกำหนดเป้าหมายกำไรให้ชัดเจนว่าจะเอากี่จุด ข้อที่ 5 cut loss ให้เป็น คำถามคือคุณ cut loss กันที่ กี่ % ของทุน อันนี้อยู่ที่แต่ล่ะคนแล้วครับ เพราะหากคุณเป็น technical แล้วเล่น scalping แล้ว cut loss ก็จะเร็วหน่อย แต่ถ้าเป็น fundamental อาจจะช้าหน่อย ทั้งนี้ต่างกันที่ lot และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ข้อที่ 6 ความสำเร็จในอดีตไม่ได้บอกความสำเร็จในอนาคต เมื่อก่อนเทรดได้ มั่นใน เพิ่ม lot เพิ่มความเสี่ยง ผลออกมา DD ล้าง ทำไม?? ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามข้อนี้ มีเพียงคติที่ว่า หากทุกคนเป็นคนเก่ง ก็ไม่มีใครขาดทุน ข้อที่ 7 Indicator แหมๆ พูดถึงสิ่งเหล่านี้ทุกคนคงรู้จัก ทั้ง MA , MACD ,RSI ,OSI ใครไม่เข้าใจก็มีสำนักจัดสอนเยอะแยะ ราคาเป็นกันเอง แต่จะมีซีกกี่คนที่รู้อย่างแท้จริง Indicator ทุกตัวย่อมมีที่หากินและที่ตาย หากรู้จักใช้ก็จะรู้เวลาหนี หากไม่รู้จักใช้ก็เจ้ง ปล. ดินดิเคเตอร์ส่วนมากที่ผมเคยใช้มาจะแพ้ความเป็นเทรน แต่ไม่ใช่ทุกตัวน่ะ ข้อที่ 8 let profile run 555 หากรู้จักคำนี้ก็จะไม่มีคำว่า กุไม่น่ารีบขายหมูเลย เซงๆๆ อดๆ ทำยังไงล่ะ ผมมีวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้นอกจากการศึกษาความเป็นไปได้ของราคาแล้วก็คือ การเปิดลอตบวก เช่น ปกติคุณเทรด lot 10 ก็ให้แบ่ง lot 10 ออกเป็น lot 1 จำนวน 10 ตัว เช่นเมื่อคุณได้ PF รวม 1000 ที่จุดนี้ แต่คุณกลัวว่ากราฟจะไปต่อ อีกอย่าก็กลัวว่าจะขาดทุนในกำไร ก็ให้ปิดออเดอร์ ซํก 8 ตัว ก็ได้กำไรแล้ว 800 เหลือก็ถือต่อ เป็นการปกป้องผลกำไร ชัดๆ ข้อที่ 9 จิตวิทยา ทำไมๆๆ ทำไมต้องรู้ โอ้ยๆ เคยสงสัยป่าวว่าทำไมชอบมีแท่งยาวๆ ตลอดๆเป็นระยะๆ จริงๆมันมีชื่อเรียกน่ะแท่งเหล่านี้ เรียกว่าแท่งธนาคาร ชื่อก็บอกว่าของใคร ทีนี้รู้แล้วยังว่าทำไมต้องอ่านจิตวิทยา ข้อที่ 10 ข้อนี้ของผมไม่เหมือนใคร จำไว้ว่า วิทยาศาสตร์ คือธรรมชาติ และคือหุ้น ในขณะเดียวกัน ผมยกตัวอย่างเรื่องเดียวเท่านั้นที่เห้นได้ชัดคือ action = reaction ของ พี่ไอสไตน์ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มีแรง short ก็ต้องมีแรง long ตามนั้น สองอย่างนี้ทำให้ตลาดเกิดความเป้นวัฐจักร มีขึ้นก็ต้องมีลง เห้อๆ เหนื่อยๆ ก่อนลากันไป ผมขอฝากคำกล่าวของพี่ภาววิทย์ กลิ่นประทุม หน่อยคับที่กล่าวไว้ว่า "ตอนเรียนใช้เงิน+เวลาเพื่อหา ความรู้ , ตอนทำงาน ใช้เวลา+ความรู้เพื่อหาเงิน, สุดท้าย เราก็ต้องใช้เงิน+ความรู้ เพื่อหาเวลา" ถูกต้องที่สุด ซึ่งตอนนี้ผมอยู่ในขั้น 1 ไป 2 แบบกึ่งๆ ..... ขอบคุณคับ

สิ่งสำคัญที่ Trader ต้องทำ

  เป็นที่เชื่อกันว่า มากกว่า 50% ของผู้ที่เล่น Forex นั้นขาดทุนในระยะยาว แต่ก็ยังคงมีนักเล่น Forex
หน้าใหม่จำนวนมาก กระโดดเข้ามาในตลาด Forex ทำการซื้อขาย อย่างไร้หลักการ และขาดทุน
กลับไป เป็นที่หน้าแปลกใจที่ส่วนใหญ่ของ ผู้เทรดที่ขาดทุนนั้น ทำการเทรดเหมือนพนัน (ไม่ใช่การ
ลงทุน) เงินทุนของพวกเขา เข้าไปในตลาด Forex โดยไม่ได้มีการตรวจสอบกับหลักการเลย ไม่ว่าคุณ
จะมีประสบการณ์ หรือเป็นผู้เริ่มต้น กับตลาด Forex มีสิ่งที่จำเป็น "ต้องทำ" ในการเข้าเทรด Forex เพื่อ
บริหารความเสี่ยงอย่างฉลาด และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร อ่านต่อ

ข้อแรกในการเก็งกำไร Protect Your Money First

ในช่วงที่ผมพักไป หาตัวอย่างเกี่ยวกับ Point and Figure Chart มาให้ดู ก็ไปเจอบทความดีๆ ที่
แมงเม่าคลับเกี่ยวกับทัศนคติเรื่องการเก็งกำไร เรื่องนี้สำคัญมาก นักเก็งกำไรยิ่งใหญ่หลายๆคน
มีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร และการ Stoploss ให้ถูกที่ถูกเวลาสำคัญขนาดไหน
หลังจากเขียน Point and Figure เสร็จผมจะพยายามรวบรวมบทความเกี่ยวกับเรื่องการ
Stoploss ว่ามันสำคัญอย่างไรในการเริ่มเล่นหุ้น และเราจะเผชิญหน้ากับความกลัวกับเรื่องนี้
อย่างไร
     “Survive first, Profit later”
     อยู่ให้รอดก่อน แล้วค่อยทำกำไร” “
     จอร์จ โซรอส
     "Don't Focus on making money, Focus on protecting what you have"
     อย่ามุ่งมั่นกับการ ทำกำไรเกินไป จงให้ความสำคัญที่จะรักษาเงินต้นคุณมากกว่า" "
Paul Tudor Jones
การทำกำไรนั้นไม่ใช่ เป้าหมายที่สำคัญที่สุด ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่านั้น และสิ่งที่สำคัญกว่า
การทำกำไรก็คือ การรักษาเงินทุนของคุณเอาไว้ การรักษาเงินทุนของคุณเอาไว้คือสิ่งที่สำคัญ
กว่า ! ผมจะยกตัวอย่างจากคำพูดของเซียนหุ้นบางคนให้คุณฟัง และคนที่พูดไว้ได้ดีคนหนึ่งก็คือ
Paul Tudor Jones… Paul Tudor Jones คือเซียนหุ้นคนหนึ่งซึ่งเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ใน
หนังสือ The Market Wizards ซึ่งเขียนโดย Jack Schwager เมื่อปี 1989 ตัวของ Paul
Tudor Jones นั้น โด่งดังขึ้นมาจากการที่เขาเป็นผู้จัดการกองทุน เพียงไม่กี่คนที่สามารถทำ
กำไรได้มากกว่า 100% ติดต่อกันถึง 5 ปี มากกว่า 100% ติดต่อกันในเวลา 5 ปีเชียวนะครับ ซึ่ง
ในช่วงกลางปี 80 นั้น หากคุณลงทุนในกองทุนของเขา 4 ปีเงิน $ 1,000 จะกลายเป็นเงินถึง
ประมาณ $ 17,500 เขาคือคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในตลาดหุ้นเลยทีเดียว แต่
ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จอย่างมากก็ตาม คำแนะนำของเขากลับดูง่ายดายเหลือเกิน เขา
พูดว่า “อย่าคิดแต่จะทำกำไร แต่คิดว่าจะรักษาเงินทุนของคุณไว้ได้อย่างไร” แน่นอนครับ ! การ
ทำกำไรนั้นสำคัญ แต่การรักษาเงินทุนเอาไว้นั้น สำคัญกว่า
Steven Waugh อดีตกัปตันทีมคริกเก็ตของออสเตรเลียนั้น เคยถูกถามไว้ว่า อะไรคือคำแนะนำ
ที่ดีที่สุดของคุณ? เขาพูดง่ายๆ ว่า “อย่าบุกมากเกิน ไป” ซึ่งสิ่งที่ Waugh ต้องการที่จะบอกก็
คือ… “อย่าคิดแต่จะทำแต้ม แต่จงป้องกันให้ดีก่อน” แน่นอนการทำคะแนนนั้นสำคัญ แต่ก็มีสิ่ง
หนึ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือการรักษาแต้มของเราไว้ ! เช่นกันครับ การทำกำไรนั้นสำคัญ แต่สิ่ง
สำคัญกว่านั้นคือ… รักษาเงินทุนเริ่มต้นของคุณเอาไว้ ถ้าคุณเสียมันไป คุณจะไม่มีเงินไว้ทำ
กำไรอีกเลย ซึ่งผมต้องเสียใจกับคุณด้วย คุณควรต้องเปลี่ยนทัศนคติของคุณใหม่ จากการมอง
โลกในแง่ดีเกินไปในเรื่องของความเสี่ยง จงเล่นเกมรับ ! รักษาเงินทุนของเราเอาไว้ จงตั้งจุดตัด
ขาดทุนเอาไว้ ! ต้องจัดสรรเงินทุนของเราให้เหมาะกับความเสี่ยง และจัดการกับความเสี่ยงของ
เราให้ดี
นี่คือประโยคต่อไปที่คุณควรจะจำไว้จาก Ed Seykota เซียนหุ้นอีกคนซึ่งได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้
เขาบอกไว้ว่ามี 3 สิ่งที่สำคัญในการเก็งกำไร โดยจากผลการลงทุนในช่วง 16 ปีของเขาหรือ
ตั้งแต่ประมาณปี 73 ถึงประมาณปลายปี 80 นั้น กองทุนของเขาทำผลงานได้อย่างเยี่ยมยอด
มาก โดยการเติบโตขึ้นถึง 250,000% นี่เป็นผลงานที่น่านับถือมากๆ แต่คำแนะนำของเขานั้น
ง่ายเหลือเกิน เขาบอกว่ามีอยู่ 3 สิ่งที่สำคัญในการเก็งกำไร นั่นคือ “ตัดขาดทุน ตัดขาดทุน และ
ตัดขาดทุน !!”
ผมมีอีก ประโยคที่น่าสนใจ “การตัดขาดทุน คือกุญแจสำคัญในการทำกำไร” นั่นหมายความว่า
การจะทำกำไรให้ได้นั้น คือการไม่ปล่อยให้เราขาดทุนมากเกินไป นี่เป็นลักษณะที่สำคัญของนัก
เก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งคุณยังจะได้ยินต่อไปเรื่อยๆ นี่เป็นเพียงบางส่วนจากการให้
สัมภาษณ์ของพวกเขาในหนังสือ The Market Wizards ซึ่งผลการลงทุนของพวกเขาบางคนนั้น
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้ ผมค่อนข้างโชคดีมากที่ได้รู้จักกับเซียนหุ้นท่านหนึ่งที่เคยให้
สัมภาษณ์ไว้ ในหนังสือ The Market Wizards เขาคือ Mark D. Cook ซึ่งไม่น่าเชื่ออีกว่า เขา
นั้นเป็นเพื่อนสนิทกับ Marty Schwartz เซียนหุ้นระดับโลกอีกคน เขาบอกกับผมว่า “Marty คือ
คนที่แพ้เก่งที่สุดที่คุณเคยเจอ” ผมอยากให้คุณลองคิดดูดีๆ สักครู่ สมมุติว่าคุณเป็นนักเล่นหุ้น
และถามผมว่า “อะไรคือคำแนะนำที่ดีที่สุด?” และผมบอกว่า “ผมอยากให้คุณเป็นคนที่แพ้เก่ง
ที่สุด” คุณอาจจะต่อยผมแล้วเดินจากไปก็ได้… “ผมต้องการให้คุณเป็นคนที่แพ้เก่งที่สุดครับ” ใน
การเก็งกำไร นั้น คนที่แพ้เก่งที่สุดต่างหาก… จะกลายเป็นผู้ชนะในระยะยาว Mark Cook บอก
กับผมว่า เขารู้จักเพื่อนคนนี้ดีที่สุด… “เขาเป็นคนที่ตัดขาดทุนได้เก่งที่สุด เท่าที่ผมได้เคยพบมา
โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย !” เขาคือสุดยอดที่ผมเคยเจอ และสำหรับผู้ถูกสัมภาษณ์ไว้ใน
หนังสือคนอื่นๆ นั้น คำแนะนำของพวกเขาก็ง่ายๆ เช่นกัน นั่นคือการเรียนรู้ที่จะตัดขาดทุน
สิ่งสำคัญที่สุดในการ ทำกำไร คือการไม่ปล่อยให้ขาดทุนมากจนเกินไป พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้
ฉลาดไปกว่าคุณบางคนเลย… มีใครบ้างไหมที่เคยขาดทุนในห้องนี้? ผมคิดว่าทุกคนคงจะยกมือ
ขึ้นใช่ไหมครับ พวกเราเคยขาดทุนกันมาแล้วทั้งนั้น แน่นอน มันไม่มีความสุขแน่ๆ แต่สิ่งที่สำคัญ
ที่สุด… คือการเรียนรู้ที่จะตัดขาดทุน พวกเราทุกคนรู้ดีว่าเมื่อเราขาดทุน และปล่อยให้มันแย่ลง
ไป เช่น 12% หลังจากนั้นกลายเป็น 30%, 40%, 50% คุณรู้ไหม มันไม่ง่ายเลยนะที่จะตัด
ขาดทุนออกมา การตัดขาดทุน ณ จุดนั้นไม่ง่ายเลย การตัดขาดทุนที่ง่ายที่สุด คือต้องตัดตั้งแต่
แรกครับ ดังนั้น จงใช้โอกาสที่คุณมี…
ผมอยากจะเพิ่มเติมอีกหน่อยครับว่า… การขาดทุนครั้งใหญ่ๆ นั้น เริ่มจากการขาดทุนน้อยๆ มา
ก่อนทั้งนั้น มันเริ่มจากจุดเล็กๆ มาก่อนทั้งนั้นเลย มันจึงง่ายที่สุดที่จะตัดขาดทุนตั้งแต่แรกๆ …
ขอให้ตัดขาดทุนได้อย่างไม่ลังเลใจนะครับ

เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง forex

สวัสดีครับวันนี้ผมเอาบทความดีๆมานำเสนอเรื่องจริงที่หลายๆคนยังคงสับสน


   จะขอเริ่มต้นด้วยการแยกเรื่องราวทางเศรษฐกิจออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ ส่วนที่
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดเก็งกำไร เช่น เรื่องของ ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การคำนวณ GDP
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุน หรือเรื่องของการทำธุรกิจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เรา
สามารถคิดได้อย่างเป็นเหตุ เป็นผล, ใช้เหตุผลตรงไปตรงมาในระดับปกติธรรมดาในการ
คิดได้ ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของตลาดเก็งกำไร เช่นตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน
ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดซื้อขายทอง ตลาดซื้อขายน้ำมัน ฯลฯ ตลาดเก็งกำไร
เหล่านี้ไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆ ในแบบที่เราคิดกัน ไม่สามารถใช้เหตุผลในระดับปกติ
ธรรมดา แบบที่เราใช้ในการทำธุรกิจ ฯลฯ ในการเอาชนะ หรือคาดการณ์ทิศทางราคาให้
ถูกต้องได้ เราจึงเห็น คนเก่ง ๆ มีการศึกษาสูง เป็น ด็อกเตอร์ เป็นหมอ เป็นนักวิชาการ
เป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จ หาเงินได้มากจนร่ำรวย พอมาเล่นหุ้นกลับขาดทุน
คาดการณ์ทิศทางราคาผิดตลอด เพราะหลักการเหตุผลมันคนละอย่างกัน วิธีการหลักคิด
ที่ใช้ในการทำธุรกิจ แล้วประสบความสำเร็จจนร่ำรวย พอเอาหลักการเหตุผล มาใช้ใน
ตลาดหุ้นกลับขาดทุน เพราะตลาดหุ้นไม่ได้มีเหตุผลตรง ๆในแบบที่เราคิดกันแต่อยู่
เหนือกฎเกณฑ์ของเหตุและผล ถ้าตลาดหุ้นเป็นเหตุ เป็นผลและใช้เหตุผลวิเคราะห์
คาดการณ์ทิศทางราคาได้ คนเก่ง ๆ มาเล่นหุ้นต้องได้กำไรไม่ใช่ขาดทุนกันเป็นส่วน
ใหญ่เช่นนี้  อ่านต่อ
  

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เเนวโน้มเเละเส้นเเนวโน้ม (Trend Line)




 เป็นการบ่งบอกถึงลักษณะการเคลื่อนไหวโดยรวมของราคาหุ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ ระยะหนึ่ง โดยรูปแบบ
การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอาจเคลื่อนไหวโดยมีแนวโน้มเป็นเส้นตรงในระยะยาว หรือมีแนวโน้มการเคลื่อนไหวที่
ต่างรูปแบบออกไป ดังต่อไปนี้
  • เส้นแนวโน้มขึ้นเป็นเส้นตรง (Uptrend) ให้จินตนาการเหมือนคุณกำลังเดินขึ้นบันไดก้าวไปสู่ขั้นที่สูงขึ้น
    เปรียบเหมือนหุ้นที่มีแนวโน้มของราคาสูงขึ้น โดยพิจารณาจากคุณลักษณะสำคัญ คือ ราคาหุ้นสูงสุดจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าราคาสูงสุดครั้งก่อน หรือราคาหุ้นต่ำสุดก็จะอยู่สูงกว่าราคาหุ้นต่ำสุดครั้งก่อน นั่นคือ ราคาหุ้น
    เคลื่อนไหวเป็นแนวลาดขึ้น หรือแปลความได้ว่าราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นนั่นเอง


     เพื่อเป็นการยืนยันถึงทิศทางแนวโน้มขึ้น ให้ผู้ลงทุนลากเส้นเชื่อมอย่างน้อย 3 จุด เริ่มจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 3 โดยให้
ส่วนปลายจุดที่ 3 เลยออกไป หากราคามีการปรับตัวถึงจุดที่ 5 จะเป็นสัญญาณยืนยันของแนวโน้มขึ้น ดังนั้น หากราคามีการปรับตัวลงมาใกล้เส้นแนวโน้มขึ้นอีกครั้งที่จุดที่ 7 จะเป็นจุดที่ผู้ลงทุนควร “ซื้อ” ตามสัญญาณทางเทคนิค
  • เส้นแนวโน้มลงเป็นเส้นตรง (Downtrend) ให้จินตนาการเหมือนคุณกำลังเดินลงบันไดก้าวไปสู่ขั้นที่ต่ำกว่า เปรียบเหมือนหุ้นที่มีแนวโน้มของราคาต่ำลง โดยพิจารณาจากคุณลักษณะสำคัญ คือ ราคาหุ้นต่ำสุดจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาต่ำสุดครั้งก่อน หรือราคาหุ้นสูงสุดก็จะอยู่ต่ำกว่าราคาหุ้นสูงสุดครั้งก่อน นั่นคือ ราคาหุ้น
    เคลื่อนไหวเป็นแนวลาดลง หรือแปลความได้ว่าราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาลงนั่นเอง
     เพื่อเป็นการยืนยันถึงทิศทางแนวโน้มลง ให้ผู้ลงทุนลากเส้นเชื่อมจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 3 โดยให้ส่วนปลายของ
จุดที่ 3 เลยออกไป หากราคาหุ้นไม่สามารถข้ามเส้นแนวโน้มลงในจุดที่ 5 ได้จะเป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มลง ดังนั้น
หากราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาใกล้เส้นแนวโน้มลงอีกครั้งที่จุดที่ 7 ผู้ลงทุนควร “ขาย” หุ้น ณ จุดนี้
  • เส้นแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลง หรือแนวโน้มราบ (Sideways) จะแสดงให้เห็นลักษณะการปรับตัวของราคาหุ้นในช่วงแคบๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่มีอุปสงค์และอุปทานในหุ้นนั้นใกล้เคียงกัน กล่าวคือ ราคาหุ้นที่สูงขึ้นครั้งใหม่จะเท่ากับที่เคยสูงขึ้นครั้งก่อน หรือราคาหุ้นต่ำลงครั้งใหม่จะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาที่ต่ำลงครั้งก่อน

     หากเห็นได้ชัดว่า หุ้นกำลังเคลื่อนที่ในลักษณะคล้ายฟันปลา แสดงว่าหุ้นนั้นกำลังเคลื่อนที่อยู่ระหว่างจุดยอดและ
ก้นบึ้ง ผู้ลงทุนควรตัดสินใจ “ซื้อ” หุ้นนั้น เมื่อราคาหุ้นอยู่ใกล้เคียงกับก้นบึ้ง แล้วรอ “ขาย” เมื่อราคาเข้าใกล้จุดยอดอีกครั้งหนึ่ง
     เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ ให้ผู้ลงทุนลากเส้นเชื่อมระหว่างจุดยอดเก่า (จุดที่ 1) ไปยังจุดยอดใหม่ (จุดที่ 3 และ 5) พร้อมทั้งให้ลากเส้นเชื่อมระหว่างก้นบึ้งเก่า (จุดที่ 2) ไปยังก้นบึ้งใหม่ (จุดที่ 4 และ 6) คุณจะเห็นกรอบ
การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ทางเทคนิคทั่วไปใช้เรียกว่า “แนวรับ – แนวต้าน” (แนวรับ = จุดซื้อ,
แนวต้าน = จุดขาย)

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

ทองคำโลกฟื้นช่วงสั้นระยะยาวผันผวนหนัก

ทองคำโลกฟื้นช่วงสั้นระยะยาวผันผวนหนัก
โดย...พันธสิทธิ เจริญพาณิชย์พันธ์
ตลาดทองคำโลกถึงกับสั่นสะท้าน เมื่อกลุ่มนักลงทุนในทองคำรายใหญ่ต่างพากันเทขายออกมาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น พอลสัน แอนด์ โค ของจอห์น พอลสัน ที่ลดพอร์ตการลงทุนในกองทุนทองคำเอสพีดีอาร์ โกลด์ ทรัสต์ ลงไปมากถึง 53% ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยลดการถือครองในกองทุนทองคำจาก 21.8 ล้านสัญญา ในช่วงไตรมาสแรก ลงมาเหลืออยู่ที่ 10.2 ล้านสัญญา ขณะที่ จอร์จ โซรอส และเจ.พี.มอร์แกน เชส ก็หันมาลดการลงทุนในทองคำลงเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ สภาทองคำโลก (ดับเบิลยูจีซี) ก็ออกรายงานมาว่า ปริมาณความต้องการทองคำในตลาดโลก ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี โดยลดลงถึง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หรือลดลงจาก 974.3 ตัน มาอยู่ที่ 856.3 ตัน ส่วนธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาลดการสะสมทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศลงเช่นกัน โดยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว ลดลงมากถึง 57% มาอยู่ที่ 71.1 ตัน
ส่วนในปีนี้ ราคาทองคำโลกได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่า 1 ใน 5 แล้ว โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ลงไปแตะที่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปีที่ 1,180.71 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านักลงทุนและเหล่าบรรดาแบงก์ชาติทั่วโลกต่างมองว่ามูลค่าและราคาในทองคำจะลดต่ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลว่าการใช้นโยบายอัดฉีดผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและสินทรัพย์ (คิวอี) เดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะมีการลดปริมาณลงเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจแดนมะกันเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ เห็นได้จากตัวเลขการจ้างงานที่ดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ทิศทางดังกล่าวจะเป็นตัวบ่งบอกว่าทิศทางทองคำโลกจะเข้าสู่ขาลงอย่างหนัก ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งนั้นนักวิเคราะห์อีกเป็นจำนวนมากกลับมองว่าราคาทองคำในอนาคตน่าจะกลับมาสู่ช่วงฟื้นตัวขึ้นมากกว่าที่จะลดลง
เนื่องจากปัจจัยจากราคาทองได้เลยจุดที่ต่ำที่สุดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะเริ่มฟื้นขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ความต้องการซื้อทองเพื่อนำไปเป็นเครื่องประดับทั่วโลก โดยเฉพาะจากอินเดียและจีนนั้นยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แถมยังคาดว่าจะช่วยดันให้ราคาทองพุ่งขึ้นอีกใน 12 เดือนข้างหน้านี้อีกด้วย
ยืนยันได้จากรายงานของดับเบิลยูจีซี ฉบับล่าสุดที่เผยว่า ทั้งๆ ที่ความต้องการทองคำทั่วโลกลดลง แต่ในแง่ของความต้องการซื้อเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องประดับ อัญมณี และเหรียญทองคำ ทั่วโลกกลับเพิ่มขึ้นมากสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยเพิ่มสูงขึ้นถึง 53% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว หรือที่ 1,083 ตัน ทั้งนี้ ความต้องการซื้อทองดังกล่าวมาจากอินเดียและจีน
ริก สปูนเนอร์ นักวิเคราะห์ด้านการตลาดของซีเอ็มซี มาร์เก็ต เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ถึงแม้พอลสัน แอนด์ โค จะลดการถือครองในกองทุนทองคำมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่นั่นถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าช่วงขาลงของราคาทองคำโลกมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และราคาจะเริ่มปรับตัวขึ้น โดยเห็นได้จากราคาทองคำเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ที่ปรับตัวสูงขึ้นมากสุดในรอบ 2 เดือนที่ 1,372 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และคาดว่าอีกไม่กี่สัปดาห์จะขึ้นไปอยู่ที่ 1,4201,490 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์
ความเห็นของนักวิเคราะห์ดังกล่าวสอดรับกับผลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่เผยว่า นักวิเคราะห์ด้านทองคำถึง 13 จากทั้งหมดที่ไปสำรวจ 22 คน ระบุว่าทองคำในสัปดาห์นี้จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากความต้องการซื้อทองคำเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องประดับยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ราคาทองในขณะนี้ถือว่าถูกอยู่
“ผู้คนซื้อทองคำรูปพรรณเก็บไว้เพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะกลางและระยะยาว ตรงกันข้ามกับกองทุนที่ลงทุนในทองคำที่มีจุดประสงค์เพื่อต้องการเข้ามาเก็งกำไรมากกว่า” มาร์ค โอไบรเน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารของโกลคอร์และโบรกเกอร์ขายทองคำแท่งและเหรียญทองคำ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก พร้อมเสริมว่า ความต้องการทองคำแท่งยังคงสูงอยู่ เพราะราคาทองในขณะนี้ถือว่าน่าลงทุนมาก
ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าจะมีการคาดการณ์ไปต่างๆ นานา แต่ความเห็นทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังไม่อาจเชื่อถือและนำมาคาดการณ์ทิศทางราคาในตลาดทองคำโลกได้เสียทั้งหมด เพราะจากปัจจัยทั้งของฝ่ายที่เห็นว่าราคาทองจะลดลงกับฝ่ายที่คิดว่าจะเพิ่มขึ้นนั้น ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำโลกมีความซับซ้อนและหลากหลายมากในปัจจุบัน ดังนั้น การมองทิศทางการลงทุนทองในระยะกลางถึงยาวจึงยังไม่อาจคาดการณ์ได้อย่างแน่ชัดว่าจะออกมาในทิศทางใดกันแน่
ขณะเดียวกัน ปัจจัยความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงอยู่ในช่วงครึ่งๆ กลางๆอยู่ อาจทำให้ราคาทองคำโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องจับตาในช่วงกลางเดือน ก.ย.นี้ ที่เฟดจะมีการประชุมว่า สุดท้ายแล้ว เฟดจะลดการใช้นโยบายคิวอีเดือนละ 8.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามที่ถูกคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในเดือน ก.ย.นี้ เฟดจะลดคิวอีลงจริง แต่ในแง่ของความเป็นจริงแล้ว ความเสี่ยงในด้านเงินเฟ้อโลกก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ธนาคารกลางของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างยูโรโซน อังกฤษ ญี่ปุ่น ยังคงมีแนวโน้มว่าจะยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ จึงทำให้ความต้องการลงทุนในทองคำเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันจากภาวะเงินเฟ้อก็ยังมีอยู่
ดังนั้น การลงทุนทองคำในระยะนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาพร้อมกับวิเคราะห์ข้อมูลแบบชอร์ตต่อชอร์ตกันเลยทีเดียว

การเงินสุดโต่งหลังทุกประเทศQE

การเงินสุดโต่งหลังทุกประเทศQE
โดย...ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
ย้อนกลับไปปี 2008 หลายๆ คนคงจำวิกฤต Sub-Prime ที่เริ่มจากการล้มลงของ Lehman Brother ครั้งนั้น เกิดภาวะสภาพคล่องตึงตัวสุดขีด เรียกได้ว่า เงินที่เคยหมุนเวียนในโลกเกิดภาวะชะงัก ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Wall-Street 2 หรือแนวบู๊ล้างผลาญแบบ Margin-call ในโลกการเงิน (การบู๊ล้างผลาญในโลกการเงิน กับบู๊แบบ Hollywood จะต่างกันตรงที่ Wall-Street จะเป็นการบู๊แบบใช้สมอง คือ คมตัดคม ชนะกันที่ความคิดและมุมมอง แต่ผู้แพ้มักจบด้วยเลือด คือ ถ้าเป็นหนัง Hollywood ผู้แพ้จะอาบเลือดตายด้วยลูกกระสุนปืน แต่ใน Wall-Street ผู้แพ้จะขึ้นไปยืนบนตึกสูง เพื่อโดดตึกตายนั่นเอง... นั่นแหละโหดแบบนิ่มๆ)
ในเวลานั้นปี 2008 หากใครทำธุรกิจจะทราบเลยว่า Order สินค้าต่างๆ หยุดสั่ง แทบไม่มีการซื้อขายสินค้า ทุกคนตะลึง ...วันนั้นรัฐบาลอเมริกาตัดสินใจอย่างด่วนในการทำ QE (Quantitative Easing : ในความเข้าใจง่ายๆ ของ QE ก็คือ การพิมพ์เงินออกใช้นั่นเอง) หลายคนอาจจะมองว่าดี พอเงินฝืด รัฐบาลก็แค่พิมพ์เงินเพิ่มก็หายฝืด คิดดีๆ นะ มันง่ายแค่นั้นจริงๆ หรือเปล่า แน่นอนไม่ใช่!! ถ้าใครเคยอ่านประวัติศาสตร์ของรัฐบาลที่พิมพ์เงินจนเกิด Hyper-inflation คือ พิมพ์เงินจนเงินตัวเองไร้ค่า มันเคยเกิดตั้งแต่เยอรมนี มาจนถึงล่าสุดไม่นานมานี้ก็ ซิมบับเว ...ลองนึกภาพเยอรมนี ใครจะเคยคิดว่า ครั้งหนึ่งประเทศเยอรมนีเคยพิมพ์เงินจนเงินไร้ค่าเป็นแค่กระดาษ
มาคุยในเรื่อง Hyper-inflation กันก่อนว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง? สาเหตุหลักๆ ของเงินเฟ้อสุดโต่งเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีเงินมากเกินไป (รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาเยอะ-การเพิ่ม Supply ของเงินจะทำให้เงินที่มีอยู่ในระบบลดมูลค่า เมื่อเงินลดมูลค่า สิ่งที่อยู่ตรงข้ามเงิน เช่น Asset ข้าวของ อาหาร ย่อมราคาสูงขึ้นสวนทาง) ความยากในฐานะของรัฐบาลในการควบคุมและกำหนด Supply ของเงิน ก็คือ เวลาเงินเฟ้อมันเกิดมันจะเฟ้อแบบช้า แต่พอมันถึงจุดหนึ่ง มันจะเกิดการระเบิดของเงินเฟ้อ ถ้าเทียบเป็นกราฟของเงินเฟ้อ มันจะมีการขึ้นลงเป็นแบบ Exponential-ค่อยๆ เกิดขึ้นช้า แล้วระเบิดขึ้น ทำให้การควบคุมของเงินเฟ้อทำได้ยากมากๆ เพราะในช่วงต้นๆ ของการพิมพ์เงิน มันจะเหมือนว่ารัฐบาลสามารถพิมพ์เงินแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำในระยะสั้น เพราะมีเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น แต่พอรัฐบาลทำไปสักพักมันจะเริ่มเกิดการระเบิดแบบขึ้นเร็วสุดๆ ของเงินเฟ้อจนไม่สามารถควบคุมได้ นั่นแหละปัญหา เพราะราคาค่าครองชีพและสินค้าจะแพงแบบบ้าเลือดในระยะเวลาอันสั้น ...พังทั้งประเทศ!!
“คำถาม คือ วันนี้ที่อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างลุกขึ้นมาทำ QE พร้อมๆ กัน ในปี 2013 มันจะกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก?” ...ตอบง่ายๆ เลยว่า ทุกรัฐบาลใหญ่ๆ ของโลกพิมพ์เงิน ก็ย่อมต้องกระทบต่อราคา Asset ในระยะยาวแน่นอน ถ้าให้หลับตาพร้อมกันแล้วนึกภาพดูว่า สิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกกำลังทำ คือ การเพิ่ม Supply เงิน ซึ่งเป็น Base Money ถ้าผมสมมติว่า ปี 2008 ที่เราเกิดวิกฤต มันเริ่มจากการปั่นเงินของระบบธนาคารและธนาคารเงา (Shadow Banking) ที่ปั่นเงินในรอบนั้นขึ้นมาทำให้สภาพคล่องในโลกล้นหลามก่อนปี 2008 ในช่วงเวลานั้นการกู้ยืมเงินทั่วโลกทำได้ง่ายมาก เพราะทุกธนาคารพยายามปล่อยกู้เกินตัวสุดๆ เวลานั้นขนาดตลาดซื้อขายบ้าน เขายังปล่อยกู้กับคนตกงานด้วยซ้ำ เพราะทุกอย่างที่เสี่ยงเขาก็เอามาขมวดเป็น Sub-Prime แล้วเอาไปให้บริษัทประกัน อย่าง AIG ไปลงทุนในสิ่งเสี่ยงเหล่านี้ ...บทสรุปของความไม่สมเหตุสมผลของเศรษฐกิจในปี 2008 ทำให้เกิดวิกฤต Sub-Prime อยากเล่าให้ฟังนิดหนึ่งว่า จาก Base Money หรือเงินเริ่มต้นที่รัฐบาลพิมพ์ออกมา มันสามารถปั่นให้เกิดสภาพคล่องเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 9 เท่า ซึ่งเท่ากับว่า หากเงินที่รัฐบาลพิมพ์เพิ่ม 1 ดอลลาร์ หากหมุนเงินแบบเต็มๆ โดยธนาคารและระบบการเงิน จะทำให้ 1 ดอลลาร์นั้นเพิ่มขึ้นมาเป็น 9 ดอลลาร์ ...เอาล่ะเล่ามาถึงตรงนี้ คุณเห็นปัญหาเหมือนที่ผมเห็นไหม?
ปัญหาที่กำลังก่อตัว คือ “การเพิ่ม Supply ของเงิน จากอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น” จะส่งผลให้ Base Money หรือเงินเริ่มต้นของทั้งโลกมันเพิ่มขึ้น นั่นเท่ากับว่า เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจเริ่มดี เงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นแบบบ้าคลั่ง และแทบจะไม่มีทางเลยที่รัฐบาลประเทศต่างๆ จะสามารถดึงเงินออกมาได้ทัน ดังนั้น เงินเฟ้อที่บ้าคลั่งกว่าปี 2008 จะเกิดขึ้นอีกครั้ง และนั่นเท่ากับว่ามูลค่าของ Asset จะขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงเวลาดังกล่าว ...ที่เล่ามาผมไม่ได้อยากให้เรากลัวการเงิน แต่อยากจะอธิบายให้เราเข้าใจ แล้วหาวิธีป้องกันตัวเราเอง
ใช่!! จะหวังให้รัฐบาลป้องกันความเสี่ยงของระบบการเงินคงเป็นไปไม่ได้ เพราะที่เห็นๆ วันนี้ขนาดรัฐบาลอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย ดังนั้น เราต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรอรับความผันผวนและความเสี่ยงที่กำลังจะเกิดขึ้น ...ซึ่งการตั้งรับความเสี่ยง ก็คือ การเข้าใจจังหวะและโอกาส ให้รู้ว่าวิกฤตจะมาถี่ขึ้น ความผันผวนจะมากขึ้น แต่ให้จำเสมอว่า ทุกครั้งที่โอกาสเกิด ราคา Asset ผันผวนและร่วงรุนแรง ก็เป็นจังหวะที่เราควรจะเก็บสะสม Asset ให้ได้มากที่สุด --- เอาไว้คราวหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังว่า เราจะรับมือต่อภาวะผันผวนและรวยขึ้นจากราคา Asset ร่วง และหุ้นตกแรงๆ ได้อย่างไร!!

เซียนชี้ทองดิ่งยาวถึงปีหน้า

เซียนชี้ทองดิ่งยาวถึงปีหน้า
สองสถาบันการเงินรายใหญ่ของโลกเตือนราคาทองคำดิ่งเหวระยะยาว
ธนาคารซิตี้ กรุ๊ป และมอร์แกน สแตนเลย์ สองสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะดิ่งลงแรงในปีนี้จนถึงปีหน้า นอกจากนี้ธนาคาร โซซิเอเต เจเนราล ของฝรั่งเศสยังได้ออกคำแนะนำให้นักลงทุนเทขายทองคำออกไปด้วย
เอ็ด มอร์ส และฮีธ แจนเซ็น สองนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า ราคาทองคำอาจจะดิ่งลงต่ำกว่า 1,250 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ก่อนจะสิ้นสุดปีนี้ โดยมีปัจจัยหลักๆ มาจากเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้น และเฟดจะลดขนาดของคิวอีลง
เมื่อเวลา 20.45 น.ของวันที่ 23 ก.ย.ตามเวลาของประเทศไทย ราคาทองในตลาดสหรัฐ ยังคงอ่อนตัวลงต่ออีก 13 เหรียญสหรัฐ ซื้อขายที่ 1,319 เหรียญสหรัฐ
ด้าน นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.ได้ติดตามตลาดการซื้อขายทองคำอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่มีการชำระราคาทันที (สปอต) ที่ยังไม่มีกฎหมายดูแลโดยตรง
สำหรับตลาดที่มี พ.ร.บ.ล่วงหน้าดูแลอยู่แล้วไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนกลุ่มที่อยู่นอก พ.ร.บ.จะทำอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ธปท.ยังดูอยู่ แต่เป็นการดูในลักษณะระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นปัญหามากกว่านี้ และส่วนหนึ่งต้องการทำหน้าที่ดูแลผู้บริโภคด้วย
“ที่ผ่านมาเงินเหรียญสหรัฐและสกุลเงินสำคัญเปลี่ยนเร็ว ตลาดการเงินโลกก็ปั่นป่วนไม่น้อย ซึ่งไปสัมพันธ์กับทองคำ ทำให้ผันผวนพอประมาณ แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ธปท.ต้องทำหน้าที่ และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากการติดตามดูมีการซื้อขายเงินเหรียญสหรัฐมากกว่าทองคำที่นำเข้าส่งออกบ้าง”นายประสาร กล่าว
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อประสานงานจาก ธปท.ในเรื่องดังกล่าว
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สมาคมได้เสนอให้ออกกฎหมายมาดูแลการซื้อขายสัญญาซื้อขายทองคำในตลาดสปอต เพราะพบว่ามีการจัดตั้งโบรกเกอร์ซื้อขายทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก โบรกเกอร์บางรายไม่มีที่มาที่ไป ซึ่งอาจสร้างความเสียหายกับลูกค้าได้หากปิดสำนักงานหนี จึงเห็นด้วยหากจะออกมาคุมเข้มการซื้อขายออนไลน์ในตลาดสปอต
อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.จะออกกติกาใดมา ขอให้เชิญสมาคมเข้าร่วมหารือด้วย เพื่อจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด หากควบคุมธุรกิจค้าทองทั้งหมด อาจจะเป็นปัญหาต่อภาพรวมตลาดทองคำได้

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีการซื้อ - ขายหุ้น forex การใช้งานMT4เบื้องต้น

การใช้โปรแกรม MT4 เมนูที่จำเป็นต่อการเทรด

จะขออธิบายเฉพาะเมนูสำคัญ ๆแบบคร่าว ๆ นะครับที่เหลือศึกษาเอาเองนะ.....

นี่คือวิดีโอตัวอย่างสำหรับการใช้เครื่องมือต่างๆในโปรแกรมและซื้อขาย forex 

VDO ตอนที่ 1


VDO ตอนที่ 2

VDO ตอนที่ 3


ขั้นตอนการฝาก-ถอน exness




                                     เรามาดูขั้นตอนการยืนยันตัวตนกันก่อนนะครับ

การยืนยันเอกสารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเปิดบัญชี Forex เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม การถอนเงิน ก่อนทำการยืนยันเอกสารให้เตรียมเอกสารสำหรับยืนยันตนดังนี้ - Passport หรือบัตรประจำตัวประชาชน (ถ้ามีภาษาอังกฤษด้วยจะผ่านง่าย หรือถ้าไม่มีควรแปลให้เป็นภาษาอังกฤษ) อย่างใด อย่างหนึ่ง ควรแสกนเป็นภาพสี และแสกนให้ชัด และลดขนาดไฟล์ แล้วเก็บลงในเครื่องคอมให้เรียบร้อย- บิลเอกสาร ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าบัตรเครดิต หรือบิลโลตัส บิลแม็คโคร หรือบิลอื่น ๆ ที่มีที่อยู่ตรงกับใบสมัคร สแกนเก็บไว้ในเครื่องและใช้บิลที่มีอายุไม่เกิน 3 เดือน


เริ่มทำการ Verify โดยการเข้าระบบบัญชีก่อน

หลังจากนั้นเลือก Verify เพื่อทำการยืนยัน
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
หลังจากนั้น รอ 24 ชม. เอกสารจะได้รับการอนุมัติ ถ้าเอกสารนั้น ไม่ผิดเงื่อนไขข้อกำหนดของโบรก
exness, forex, ยืนยันเอกสาร,Verify
**หมายเหตุ** บิล นั้นให้เราซื้อของอะไรก็ได้ครับซัก 20 -50 บาท ใน เซเว่น หรือ tesco lotus ก็ได้ครับแล้วบอกพนักงานว่าขอใบกำกับภาษีหน่อย(ถ้าเขาถามว่าเอาไปทำอะไร บอกเขาว่าเอาไปเบิกจ่ายแค่นั้นครับ ขืนบอกว่าเอาไปยื่นเอกสารของโบรกเกอร์ forex มีหวังได้คุยยาวแน่ๆเลย 55+ เพราะว่าเขาไม่รู้จัก forex ไงล่ะครับ เดี๋ยวจะโดนถามว่า มันคือ อะไร เป็นอย่างไร แล้ว ทำแบบไหน?) ส่วนตัวผมไม่เคยโดนสอบถามครับ เพราะทำตัวแบบเนียนๆ เฉยๆเอื่อยๆ ขอบิลได้แล้ว ก็ไปร้านถ่ายเอกสารหรือ ร้านที่เขารับสแกนเอกสารครับ ให้สแกนบิลไปไฟลื jpeg หน่อย จากนั้นก็เสร็จแล้ว รอ อัปไฟล์ขึ้น exness เลยครับ ***

ใครที่ยังไม่พร้อมเรื่องของเอกสาร ก็ยังไม่ต้องยืนยันตัว เปิดบัญชีทิ้งไว้เฉยๆก็ได้ครับ แต่เขาจะจำกัดวงเงินการถอนที่ 15,000 บาท ประมาณ 500 ดอลถ้าเี่ราทำกำไรได้ แต่ถ้ายืนยันแล้วก็จะถอนได้ไม่จำกัดครับ 


  ข้อตกลงและเงื่อนไขทั่วไปสำหรับการฝากและการถอนเงิน

ฝากเงิน,ถอนเงิน, exness, forex,

โดยส่วนใหญ่แล้ว คนไทยชอบฝากเงินผ่านทาง
การชำระเงินผ่านทางธนาคารออนไลน์ในประเทศไทย วิธีนี้ก็คือ ผ่านทาง ibangking ของแต่ล่ะธนาคารที่เราใช้ ปัจจุบันที่มีการดิวของ exness และ ธนาคารไทยในประเทศไทย ก็มี ธนาคารกรุงเทพ,ธนาคารกรุงศรี,ธนาคารกรุงไทย,และธนาคารไทยพาณิชย์ ใครที่มี ibangking ดังกล่าวก็สามารถทำการฝากเงินได้เลยนะครับ

ฝากเงิน,ถอนเงิน, exness, forex, ถ้าฝากเงินผ่าน Ibanking นี้ปัจจุบันมันจะได้ 5 ธนาคาร ก็จะมี ธนาคารกรุงเทพ,ธนาคารกรุงศรี,ธนาคารกรุงไทย,ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกสิกร


แต่อนาคตนี้ไม่แน่อาจมีเพิ่ม แต่ถ้าถอนเงินนี่ ได้เกือบทุกธนาคารคัฟ(มีภาพตัวอย่างการถอน เข้าธนาคารคัฟ ตรงหัวข้อการถอนเงินด้านล่าง)



- อีกวิธีที่สะดวก สำหรับคนไม่มี I-banking ก็ ฝากเงินผ่าน 7-11 ได้คัฟ

- ส่วนใครที่มีบัญชีธนาคารออนไลน์ Ecurrency ต่างๆอยู่แล้ว ก็ฝากเงินได้เลยนะครับ เช่น
  • Skrill (Moneybookers)
  • Webmoney
  • Ukash
  • Payweb
  • Neteller
  • Filspay
  • CashU
  • Perfect Money
  • C-Gold
ก็ทำการฝากได้เลยนะครับ 

ผมมีวิดีโอตัวอย่างมาให้ชมกันนะครับคนที่ใช้ ibangking 

             วีดีโอสอนการฝากเงินเข้า EXNESS ผ่านธนาคารประเทศไทย I-banking กรุงศรีอยุธยา



                                       วีดีโอสอนการฝากเงินเข้า EXNESS ผ่าน 7 - 11 




การถอนเงิน
หากเราเทรด forex แล้วได้กำไรแล้วก็สามารถถอนเงินออกจากโบรกเกอร์ได้  การถอนเงิน ก็ทำลักษณะเหมือนการฝากเงินเลยนะครับ ไม่ยุ่งยาก

ผมมีวิธีโอตัวอย่างการถอนเงิน จาก Exness มายังบัญชีธนาคารไทยของเรา นี่คือตัวอย่างนะครับ ถอนมายังแบงค์ในไทยได้ทุกแบงค์เลยนะครับ(ไม่แน่ใจว่าทุกแบงค์มั้ย?)ต้องลองไปดูที่เมนูอีกทีว่ามีกี่แบงค์



ภาพตัวอย่าง   การถอนเงินเข้าธนาคารที่เดียวกับ Exness นะครับ
สามารถถอนเข้าธนาคารได้ดังกล่าวตามรูปภาพนี้ครับ

ต่อมาเรามาดูวิธีการติดตั้งโปรเเกรม MT4 กันครับ

วิธีการติดตั้งโปรแกรมเทรด MT4 MetaTrader - EXNESS


คลิ๊กดาวโหลด MetaTrader 4 ตามรูป

mt4,โปรแกรมเทรด,exness,forex,ดาวน์โหลด,เล่นหุ้น,เทรด


คลิ๊กที่โปรแกรมที่เราดาวโหลดมา แล้วคลิ๊ก Run

mt4,โปรแกรมเทรด,exness,forex,ดาวน์โหลด,เล่นหุ้น,เทรด

จากนั้นคลิ๊ก Next..


แล้วคลิ๊กเครื่องหมายถูกในช่องสี่เหลี่ยม แล้ว คลิ๊ก Next..


แล้วก็คลิ๊ก Next >>


รอการดาวโหลด สักครู่


คลิ๊ก Finish >> 


แล้วจะขึ้นหน้าต่าง โปรแกรมMT4 มาใหม่ 

mt4,โปรแกรมเทรด,exness,forex,ดาวน์โหลด,เล่นหุ้น,เทรด

ให้ทำการนำหมายเลขบัญชีที่เราสมัครไว้มา Login และ Password  เลือก Sever สำหรับใครที่เปิดบัญชี แบบ Mini Server จะเป็น Exness-Real2  ถ้าเลือกผิดก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อทำการ login เข้าสู่โปรแกรม MT4 ครั้งแรก จะมีคูเงิน อยู่หน้าแรกประมาณ 4 คู่ 


และบางทีก็โชว์หน้าจอ กราฟ ขึ้นมาเลย แต่บางที่อาจจะโชว์คำว่า waiting for update ดังรูป

ให้ทำการคลิ๊กตรงเครื่องหมาย x สีแดง มุมขวามือของแต่ละ chart คู่เงินออกไปทั้งหมดเลย


แล้วทำการเปิด Chart คู่เงินใหม่ขึ้น มีให้เลือกมากมาย ตามความถนัดของเรา

โดยส่วนใหญ่ นิยม เล่นคู่เงิน EUR/USD ค่ะ

ตาม ตย. จะทำการเปิดกราฟใหม่ 
โดยไปที่ File >> New chart >> EUR/USD


ก็จะได้กรา EUR/USD หน้าตา ดังรูปข้างล่างนี้


**หมายเหตุ** ใครที่ติดตั้งโปรแกรมและ login ภายในวันเสาร์ - อาทิตย์ กราฟจะไม่เคลื่อนไหวนะครับเพราะตลาดปิด ได้แต่ดูกราฟเฉยๆนะครับเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะดูแนวโน้มราคาในวันเสาร์ - อาทิตย์ เพราะราคาไม่ขยับมันเลยดูได้ง่าย พอเข้าใจนะครับ ***

พอติดตั้งโปรแกรมซื้อ - ขาย แล้ว เรามาดูวิธีการใช้งานMT4เบื้องต้นกันเลยนะครับ >> คลิ๊กที่นี่

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

อธิบายการใช้ indicator Stochastic

STOCHASTICS


   STOCHASTICS  คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคาหุ้นนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของหุ้นมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน

   ถ้าราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ขึ้น” เป็น “ลง” เรามักจะพบว่าราคาในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายอาจจะสูงขึ้น แต่ราคาปิดจะอยู่ใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของวัน แต่หากราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ลง” เป็น “ขึ้น” ราคาปิดจะมีราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของวัน แม้ว่าในระหว่างชั่วโมงซื้อขายราคาอาจจะลดต่ำลง

   ความสัมพันธ์ระหว่างราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

   หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ  STOCHASTICS

   เครื่องมือ  STOCHASTICS  ประกอบด้วย

       เส้น %K เป็นเส้น  STOCHASTICS
            เส้น  %D  เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น  %K

            %K       =         ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง วัน)          
                             ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
            %D       =   ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า  %K

   หลักการอ่าน  STOCHASTICS

   สัญญาณเตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น  STOCHASTICS เข้าเขต  OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

   สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย”จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง

   

   รูปแบบของการตัดขึ้นตัดลง


   สัญญาณซื้อหรือขายจากการตัดขึ้นหรือลงในทางปฏิบัติ มักจะมีบางกรณีเกิดเป็นสัญญาณหลอกขึ้นซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนเสียหาย จึงมีกฎเกณฑ์เพิ่มเติมในการอ่านรูปแบบของการตัดขึ้นหรือลง โดยจะดูว่ารูปแบบในลักษณะใดที่จะผลักดันให้ราคาหุ้นขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว

   การตัดค่อนไปทางขวามือ  (RIGHT-HAND CROSS-OVER)

   เนื่องจากเส้น %K เปลี่ยนทิศทางเร็วกว่าเส้น %D โดยจะวิ่งขึ้นหรือลงก่อน และอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก ดังนั้นสัญญาณที่ดีกว่าคือ การให้ทั้ง 2เส้นเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ในกรณีเช่นนี้ รูปแบบจะออกมาในลักษณะที่เส้น %K ตัดเส้น %D ค่อนไปทางขวามือ (RIGHT-HAND CROSS-OVER) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนกว่า

   

   รูปแบบ  HINGE

   เป็นรูปแบบการชะลอการขึ้นหรือลงในลักษณะอ่อนตัวลง เป็นเครื่องชี้ว่าราคาหุ้นอาจจะมีการเปลี่ยนทิศทางในเร็ว ๆ นี้

   

   การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS
   (DIVERGENCE)  แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

     BEARISH DIVERGENCE  คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่เป็นสัญญาณขาย

   

     BULLISH DIVERGENCE  คือการที่ราคาหุ้นสร้างจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำเก่า แต่ STOCHASTICS มีจุดต่ำใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำกว่า เป็นสัญญาณซื้อ

   

   รูปแบบ    SET-UP

   จุดยอดใหม่ของ   STOCHASTICS  สูงกว่าจุดยอดเก่า ในขณะที่ราคาหุ้นไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่และกลับลดต่ำกว่าจุดสูงเก่าเป็นสัญญาณเตือนว่า การลดต่ำลงของราคาหุ้นไม่น่าจะรุนแรงมากกว่านี้เรียกว่า  BULL SET-UP  และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะดีดตัวกลับสูงขึ้น

   

   BEAR  SET-UP จุดต่ำใหม่ของ  STOCHASTICS  ต่ำกว่าจุดต่ำกว่าในขณะที่ราคาหุ้นมีจุดต่ำใหม่สูงกว่าจุดต่ำเก่า  เป็นสัญญาณเตือนว่า การขึ้นของราคาหุ้นครั้งนี้จะเป็นการขึ้นก่อนที่ราคาจะต่ำลง

   

   รูปแบบ  FAILURE แบ่งเป็น  2 ลักษณะคือ

   รูปแบบ  KNEE  เส้น %K ตัดเส้น%D ขึ้นและถอยกลับแต่ไม่ทะลุผ่านเป็นสัญญาณเตือนว่า  ราคาหุ้นยังสามารถที่จะเคลื่อนตัวสูงขึ้นต่อไปได้

   

   รูปแบบ  SHOULDER  เส้น %K ตัดเส้น %D  และดีดตัวสะท้อนกลับแต่ไม่สามารถตัดผ่านไปได้เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาหุ้นใกล้จะอ่อนตัวลง

   

   รูปแบบ  GARBAGE แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

   GARBAGE TOP  เป็นรูปแบบทีเส้น  %K ตัดเส้น %D ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่บริเวณเขตภาวะซื้อมากไป รูปแบบนี้จะเกิดขึ้นกับสภาพตลาดที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ซึ่งจะใช้ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีการปรับตัวลง ลักษณะการปรับตัวลงของ STOCHASTIC จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว  และจะสามารถดีดตัวกลับสูงข้นได้ทันที โดยมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับตัว V จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า SPIKE BOTTOM

   

   GARBAGE BOTTOM เกิดขึ้นในสภาพตลาดขาลง และมีความหมายตรงกันข้ามกับ GARBAGE TOP โดยรูปแบบการปรับตัวสูงขึ้นของ STOCHASTIC จะเป็นไปในลักษณะ SPIKE TOP

   

   ความหมายของระดับ 0% และ 100%

   ระดับ 0%  หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป  (OVERSOLD) ของหุ้นแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่แต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาหุ้นอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะของ  TECHNICAL REBOUND ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0% จึงอาจตีความได้ว่าราคาหุ้นได้ลดลงมาถึงระดับ  “WEAK”

   ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของหุ้น แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง (STRONG) จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้ STOCHASTIC   อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง (TECHNICAL CORRECTION)   แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT  มากกว่า

   

   สโตแคสติกส์แบบเร็ว FAST STOCHASTIC


   STOCHASTIC  แบบเร็วนี้ เป็นเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของระดับราคาในปัจจุบัน ภายในช่วงกว้างของระดับราคา ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งมีการแกว่งตัวที่รวดเร็วมาก จึงทำให้หลายฝ่ายไม่นิยมใช้ เนื่องจากมีการแกว่งตัวที่ผันผวนและไม่แน่นอน ดังนั้น SLOW STOCHASTIC จึงเป็นที่นิยมใช้มากกว่า STOCHASTIC นี้ประกอบด้วยค่าดัชนีสองค่าคือ %K และ %D โดยจะบอกถึงภาวะซื้อมากไป  (OVERBOUGHT) เมื่อ STOCHASTIC ตัดเส้น  80%  ขึ้นไป  คืออยู่ในช่วงระหว่างเส้น 80%  ถึง  100  % และจะบอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD)  เมื่อ  STOCHASTIC   เตือนชี้จะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 20% ลงมา  และสัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น  %Kตัดเส้น  %D ขึ้นไป   สำหรับสัญญาณเตือนขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 80% ขึ้นไป   และสัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %K ตัดเส้น  %D ลงมา

   FORMULA

   FAST %k  =  CURRENT CLOSE – LOWEST LOWn
                             HIGHEST HIGHn – LOWEST LOWn

   %D = 3 PERIOD MODIFIED MOVING AVERAGE OF FAST %k

   n =  NUMBER OF PERIODS

   

   สโตแคสติกส์แบบช้า SLOW STOCHASTIC


   SLOW STOCHASTIC  เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของราคา ที่ถูกทำให้ราบเรียบขึ้นจาก  FAST STOCHASTIC   ซึ่ง SLOW STOCHASTIC  ใช้  MODIFIED MOVING AVERAGE  ในการหาค่า  SLOW %K  เท่ากับ  3  PERIOD แต่ใน FAST STOCHASTIC ค่าของ  FAST %Kจะใช้MODIFIED MOVING AVERAGE เท่ากับ  1  PERIOD  หรือไม่มีการเฉลี่ยนั่นเอง

   FORMULA

   SLOW %K = 3 Period Modified Moving Average of FAST %K

   %D =  3 Period Modified Moving Average of  SLOW %K

   หลักการวิเคราะห์  SLOW STOCHASTIC  ใช้หลักเดียวกันกับ  FAST    STOCHASTIC

   

   สโตแคสติกส์แบบปรับปรุง MODIFIED STOCHASTIC


   MODIFIED  STOCHASTIC   เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องวัดการแกว่งตัวของราคา ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยสามารถทำให้ราบเรียบขึ้นจาก FAST STOCHASTIC หรือทำให้แกว่งตัวมากกว่า SLOW STOCHASTIC

   แต่เดิม  FAST  STOCHASTIC  ใช้   MODIFIED MOVING  AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาในการหาค่า  %D เท่ากับ  3 และ  SLOW STOCHASTIC   ใช้  MODIFIED MOVING AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาการหาค่า  %Kและ %D   เท่ากับ  3  แต่ใน  MODIFIE STOCHASTIC ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าของ MOVING AVERAGE เท่ากับช่วงเวลาใดๆก็ได้ และสามารถกำหนดรูปแบบของ  MOVING AVERAGE ได้ตามต้องการ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณหาค่า  %K
   และ %D

   หลักการวิเคราะห์ของ  MODIFIED STOCHASTIC  ใช้หลักเดียวกันกับ FAST และ   SLOW   STOCHASTIC